คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 330/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เช่าที่ดินจากกรมการศาสนาแล้วให้จำเลยปลูกบ้าน ถึงกำหนดแล้วจำเลยไม่ยอมออก โจทก์ในฐานะคู่สัญญาย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินที่เช่าได้ จำเลยจะต่อสู้ว่า กรมการศาสนาเจ้าของที่พิพาทได้บอกเลิกสัญญาเช่าที่ทำไว้กับโจทก์ เพราะโจทก์ผิดสัญญาให้เช่าช่วง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยหาได้ไม่
การที่โจทก์เช่าที่พิพาทจากกรมการศาสนาแล้วถูกบอกเลิกสัญญาเช่า โจทก์จึงตกลงกับจำเลยสละสิทธิการเช่าในภายหน้า เพื่อให้จำเลยไปติดต่อขอเช่าจากกรมการศาสนาเองโดยตรง โดยโจทก์ขอรับเงินจากจำเลยเป็นค่าสละสิทธิจำนวนหนึ่งนั้น ข้อตกลงนี้ไม่ใช่เรื่องโอนสิทธิการเช่าหรือโอนสิทธิเรียกร้องและไม่มีกฎหมายบังคับให้ทำตามแบบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าที่ดินของวัดพระเงินจากกรมศาสนา ต่อมาโจทก์ให้จำเลยเช่าที่ดินดังกล่าวปลูกบ้าน ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ยอมออกจากที่เช่าขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่เช่าและขอให้ชำระค่าเช่าที่ค้าง ๒ เดือน ๖๐๐ บาท กับค่าเสียหายเดือนละ ๒๐๐ บาท จนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินทีเช่า
จำเลยให้การว่าได้เช่าที่พิพาทจากโจทก์ตามกำหนดในฟ้อง แต่กรมการศาสนาซึ่งเป็นผู้ควบคุมดูแลศาสนสมบัติของวัดพระเงินได้บอกเลิกการเช่ากับโจทก์เนื่องจาก โจทก์ผิดสัญญาให้จำเลยเช่าช่วง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อกรมการศาสนาบอกเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์แล้ว โจทก์กับจำเลยได้ตกลงกันว่า โจทก์ให้จำเลยติดต่อขอเช่าที่ดินแปลงนี้จากกรมการศาสนาต่อไป โดยโจทก์ขอรับเงินเป็นค่าสละสิทธิให้จำเลยเป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท โจทก์ได้รับเงินไปแล้ว ๒,๐๐๐ บาท ที่เหลือชำระเมื่อกรมการศาสนาให้จำเลยเป็นผู้เช่าต่อไป
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง และข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยตามข้ออ้างของจำเลยเป็นการโอนสิทธิเรียกร้อง ซึ่งทำไม่ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับ ตกเป็นโมฆะ พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง ๖๐๐ บาท กับใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๒๐๐ บาท ให้โจทก์นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาเรื่องอำนาจฟ้อง และขอให้มีการพิจารณาคดีต่อไป
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง และสมควรสืบพยานให้ปรากฏข้อเท็จจริงตามคำให้การต่อสู้คดีของจำเลย พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า กรมการศาสนาเจ้าของที่ดินพิพาทบอกเลิกสัญญาเช่าที่ทำไว้กับโจทก์ เพราะโจทก์ผิดสัญญาให้เช่าช่วง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามฟ้องและคำให้การแสดงว่าจำเลยเป็นคู่สัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับโจทก์ หากต่อมากรมการศาสนาบอกเลิกสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ ก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับบุคคลที่สาม ส่วนข้อตกลงตามสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยยังคงผูกพันกันอยู่ จำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญา เมื่อครบกำหนดการเช่าจำเลยผิดสัญญาไม่ออกจากที่ดินพิพาท โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย
โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลย ตามคำให้การต่อสู้คดีของจำเลยเป็นเรื่องโอนสิทธิเรียกร้อง ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือจึงจะมีผลบังคับกันได้ ข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อต่อสู้คดีของจำเลยนั้น โจทก์ไม่มีสิทธิเช่าที่ดินพิพาทแล้วเนื่องจากกรมการศาสนาบอกเลิกการเช่ากับโจทก์ โจทก์ตกลงกับจำเลยว่าการเช่าที่ดินพิพาทใหม่กับกรมการศาสนาในภายหน้า โจทก์สละสิทธิไม่ขอเช่า ยอมให้จำเลยติดต่อขอเช่าจากกรมศาสนาโดยตรง ซึ่งการที่จำเลยจะเช่าจากกรมการศาสนาได้อย่างเป็นเรื่องที่จำเลยต้องติดต่อดำเนินการเอง ในการนี้โจทก์ขอรับเงินเป็นค่าที่โจทก์สละสิทธิจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท จำเลยชำระให้บางส่วนแล้ว ข้อตกลงเช่นว่านี้มิใช่เรื่องโอนสิทธิการเช่าหรือโอนสิทธิเรียกร้อง และไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องทำตามแบบถ้าเป็นความจริงดังข้ออ้างของจำเลย ข้อวินิจฉัยที่ว่าโจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยได้หรือไม่อาจเปลี่ยนแปลงไป จึงต้องสืบพยานโจทก์จำเลยเพื่อฟังข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ต่อ ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share