แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่นายสำรองขับเรือหางยาวที่มีกำลังเครื่องยนต์สูงด้วยความเร็วและประมาทเข้ามาในระยะกระชั้นชิดทางขวาของเรือที่จำเลยขับและชนกัน เรือหางยาวล่มลงมีคนตายนั้น เป็นการพ้นวิสัยที่เรือจำเลยที่มีขนาดใหญ่จะหลีกทางให้ได้ การละเว้นของจำเลยเช่นนี้จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎกระทรวง (พ.ศ. 2498) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2497 หมวด 3 ข้อ 20 ที่ว่า’เมื่อเรือกลสองลำแล่นตัดทางซึ่งกันและกัน ในลักษณะที่น่ากลัวจะเกิดการโดนกัน เรือที่มีเรือลำอื่นอยู่ทางขวาของตนต้องหลีกทางให้เรืออื่นนั้น’ จำเลยไม่มีความผิดตามฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับเรือยนต์ด้วยความประมาท แล่นตัดทางเรือยนต์ชื่อฟ้ายิ้ม ในลักษณะที่น่ากลัวจะเกิดการโดนกัน จำเลยมีหน้าที่ต้องหลีกทางให้เรือฟ้ายิ้มซึ่งอยู่ทางขวา แต่จำเลยกลับขับเรือแล่นตัดหน้าเรือฟ้ายิ้มในระยะกระชั้นชิดเป็นเหตุให้เรือชนกันผู้โดยสารในเรือฟ้ายิ้ม 2 คนถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มาตรา 310 พระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2497 มาตรา 5, 6,7, 8 กฎกระทรวง (พ.ศ. 2498) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2497
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงฯจึงต้องมีความผิด
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาว่า จำเลยขับเรือเป็ดขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 4 วา กว้าง 1 วาเศษ ติดตั้งเครื่องยนต์มีกำลัง 10 แรงม้าแล่นตัดกระแสน้ำซึ่งกำลังไหลขึ้นทำให้เรือแล่นช้า เรือฟ้ายิ้มเป็นเรือหางยาวเล็กเพรียวยาวประมาณ 1 วา กว้าง 3 ศอก ติดตั้งเครื่องยนต์มีกำลัง 25 แรงม้า แล่นตามกระแสน้ำขึ้นอยู่ทางด้านขวาของเรือจำเลย และแล่นด้วยความเร็วสูง ในขณะที่เรือทั้งสองแล่นตัดทางจนน่ากลัวจะโดนกันนี้ เรือทั้งสองลำเข้ามาอยู่ห่างกันในระยะ 20 วา นายสำรองได้ขับเรือหางยาวด้วยความประมาทใช้ความเร็วสูง เป็นเหตุให้เรือชนกัน เรือหางยาวล่มผู้โดยสารในเรือหางยาวจมน้ำตาย 2 คน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อฎีกาของโจทก์ที่ว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวง (พ.ศ. 2498) ออกตามความในพระราชบัญญัติ ป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2497 หมวด 3 ข้อ 20 ที่บัญญัติว่า เมื่อเรือกลสองลำแล่นตัดทางซึ่งกันและกันในลักษณะที่น่ากลัวจะเกิดการโดนกัน เรือที่มีเรือลำอื่นอยู่ทางขวาของตนต้องหลีกให้เรือลำอื่นนั้น เห็นว่า การที่นายสำรองขับเรือหางยาวซึ่งมีกำลังเครื่องยนต์สูงมาด้วยความเร็วและประมาทในระยะกระชั้นชิดเรือของจำเลยเป็นเรือที่มีขนาดใหญ่ เป็นการพ้นวิสัยที่จำเลยจะแล่นเรือหลีกทางให้เรือของนายสำรองได้ เมื่อเป็นกรณีที่ไม่สามารถกระทำได้ การที่จำเลยไม่ได้หลีกทางให้เรือนายสำรองการละเว้นของจำเลยจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎกระทรวงฯ ข้อ 20
โจทก์ฎีกาขอให้ยกกฎกระทรวงฯ หมวด 2 ข้อ 15(ข)(1) ที่บัญญัติว่าเรือกลให้ใช้สัญญาณด้วยหวีด ขึ้นวินิจฉัย เห็นว่าในเรื่องที่จำเลยไม่ได้ใช้สัญญาณด้วยหวีดนี้โจทก์มิได้กล่าวไว้ในฟ้อง ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ไม่ได้
พิพากษายืน