คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6878/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทแล้วนั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าเป็นของโจทก์ จำเลยให้การว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของจำเลยโดยจำเลยเป็นผู้ก่นสร้างและครอบครองมานานกว่า 30 ปีแล้วตามคำให้การดังกล่าวจำเลยมิได้อ้างว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ จึงไม่มีประเด็นเรื่องเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381จำเลยไม่อาจอ้างสิทธิตามมาตรา 1375 ได้ การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทในเรื่องนี้ จึงเป็นการกำหนดประเด็นนอกเหนือไปจากคำฟ้องและคำให้การ เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และมาตรา 183แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ก็ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เนื้อที่ 49 ไร่ 1 งาน โดยซื้อจากนายเสือเมื่อ 20 ปีเศษมาแล้ว และได้ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาเมื่อเดือนมิถุนายน 2529 จำเลยปิดกั้นคันนาและเข้ามาทำนาในที่ดินของโจทก์ดังกล่าวด้านทิศตะวันออกเป็นเนื้อที่ประมาณ 9 ไร่โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกไป แต่จำเลยไม่เชื่อฟังและยังเข้าทำนาตั้งแต่ฤดูทำนาปี 2531 จนถึงปัจจุบันโดยอ้างว่าที่ดินเป็นของจำเลย วันที่ 2 มกราคม 2530 โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาข้อหาบุกรุกศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความโจทก์อุทธรณ์และอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ที่ดินดังกล่าวโจทก์สามารถทำนาได้ข้าวเปลือกปีละ 180 ถังใหญ่ ถังละ 50 บาทเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วมีรายได้ปีละ 5,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินดังกล่าว และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายปีละ5,000 บาท นับแต่ฤดูทำนาปี 2531 จนกว่าจำเลยและบริวารจะเลิกเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยจำเลยได้บุกเบิกก่นสร้างครอบครองมานานกว่า 30 ปีแล้ว โจทก์ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายคือไม่มีการรังวัดและนัดเจ้าของที่ดินข้างเคียงไประวังแนวเขต ไม่มีการปิดประกาศและออกทับที่ดินของจำเลย โจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาท ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยปิดกั้นคันนาในที่ดินพิพาทอันเป็นการโต้แย้งสิทธิและละเมิดตั้งแต่ปี 2529 แต่เพิ่งมาฟ้องเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2532เกิน 1 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ที่ดินพิพาทเป็นที่สูงกักเก็บน้ำไม่ได้ ทำนาได้ข้าวไม่เกินเดือนละ 80 ถัง คิดเป็นเงินไม่เกิน 4,000 บาท หักค่าใช้จ่ายแล้วมีรายได้ไม่เกิน 2,500 บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเรื่องละเมิดและโจทก์หมดสิทธิฟ้องเรียกคืนการครอบครอง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท และห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายปีละ 3,500 บาท แก่โจทก์นับแต่ฤดูทำนาปี 2531จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทแล้วนั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์หมดสิทธิฟ้องเอาคืนการครอบครองที่ดินพิพาทนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าเป็นของโจทก์ จำเลยให้การว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของจำเลยโดยจำเลยเป็นผู้ก่นสร้างและครอบครองมานานกว่า 30 ปีแล้ว ตามคำให้การดังกล่าวจำเลยมิได้อ้างว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ จึงไม่มีประเด็นเรื่องเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 จำเลยไม่อาจอ้างสิทธิตามมาตรา 1375 ได้ การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทในเรื่องนี้ จึงเป็นการกำหนดประเด็นนอกเหนือไปจากคำฟ้องและคำให้การเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และมาตรา 183แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยให้ก็ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share