คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1140/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่ออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่าที่ดินเฉพาะส่วนที่พิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์แม้จะไม่ปรากฏว่าราคาที่ดินพิพาท แต่ก็ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์โดยจำเลยมิได้โต้แย้งว่าที่ดินมีเนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 25 ตารางวาโจทก์ซื้อมาในราคา 61,093.75 บาท แต่ที่ดินพิพาทเป็นเพียงส่วนหนึ่งของที่ดินที่โจทก์ซื้อมา มีเนื้อที่เพียง 75 ตารางวา ย่อมมีราคาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 189 จากนายแบน มีเนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 25 ตารางวาเป็นเงิน 61,093.75 บาท ต่อมาโจทก์ได้ขอรังวัดที่ดินที่ซื้อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งมีที่ดินติดกับที่ดินแปลงดังกล่าวได้คัดค้านการรังวัด โดยอ้างว่าผู้แทนโจทก์นำรังวัดรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยทั้งสอง โจทก์ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ได้นำพนักงานเจ้าหน้าที่ไปรังวัดโดยได้ชี้รุกล้ำที่ดินของจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทภายในแนวเขตสีเขียวตามแผนที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองกับบริวารออกไปและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกที่ดินของโจทก์ ขอให้ขับไล่ เมื่อจำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าที่ดินเฉพาะส่วนที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง คดีนี้จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ แม้ในทางพิจารณาจะไม่ปรากฏถึงจำนวนราคาที่ดินพิพาทแต่ก็ปรากฏตามคำฟ้องโดยจำเลยทั้งสองมิได้โต้แย้งคัดค้านว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 189 จำนวนเนื้อที่5 ไร่ 1 งาน 25 ตารางวา โจทก์ซื้อมาจากนายแบนในราคาเพียง61,093.75 บาท แต่ที่ดินเฉพาะส่วนที่พิพาทเป็นเพียงส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว ซึ่งเมื่อมีการจัดทำแผนที่พิพาทปรากฏว่าที่พิพาทมีเนื้อที่โดยประมาณเพียง75 ตารางวา เท่านั้น ดังนี้ จึงเป็นที่เห็นได้ว่า ที่ดินพิพาทย่อมจะมีราคาไม่เกินสองแสนบาทอย่างแน่นอน คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก คดีนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
พิพากษายกฎีกาจำเลยทั้งสอง

Share