แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนตาม พ.ร.บ. อาวุธปืน ฯ พ.ศ. 2490 ซึ่งจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การรับสารภาพ ศาลสามารถพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองได้โดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐานประกอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา มาตรา 176 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์สืบพยานหลักฐานประกอบคำรับสารภาพในข้อหาปล้นทรัพย์แล้วปรากฏข้อเท็จริงว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำผิดฐานมีและพาอาวุธปืนตามฟ้อง ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ใช้อาวุธปืนในการปล้นทรัพย์และยิงผู้เสียหาย แต่โจทก์มิได้อาวุธปืนดังกล่าวมาเป็นของกลาง และโจทก์มิได้นำสืบให้ได้ความว่าอาวุธปืนดังกล่าวเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ทั้งมิได้นำสืบว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้รับอนุญาตให้มีและพาอาวุธปืน จึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 3 ในข้อหาทั้งสองได้ โจทก์จะอ้างว่าจำเลยที่ 3 มิได้พิสูจน์ความจริงว่า จำเลยที่ 3 เคยมีใบอนุญาตให้มีและพาอาวุธปืนติดตัว แสดงว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้รับอนุญาตให้มีและพาอาวุธปืนอันเป็นการผลักภาระหน้าที่นำสืบของโจทก์ไปให้จำเลยโดยไม่มีกฎหมายสนับสนุนหาได้ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา83, 91, 340, 340 ทวิ, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. 2490 มาตรา7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์รวม 3,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสี่ ให้จำคุกคนละ 16 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงจำคุกคนละ 8 ปี จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสี่, 340 ตรี, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ฐานมีอาวุธปืนจำคุก 1 ปี ฐานพกพาอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ อันเป็นบทหนัก จำคุก 6 เดือน ฐานปล้นทรัพย์ จำคุก 24 ปี เรียงกระทงลงโทษจำเลยที่ 3 รวม 25 ปี 6 เดือน กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์รวม 3,000 บาทแก่ผู้เสียหาย ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ
โจทก์และจำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในข้อหาฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนสำหรับจำเลยที่ 3 คงจำคุกจำเลยที่ 3ไว้ 24 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์สิบเอกสิทธิชัย ใหม่จันทร์ดี ผู้เสียหาย โดยจำเลยที่ 3 กับพวกอีกคนหนึ่งใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยืนอยู่ใกล้ๆลักษณะคอยดูต้นทางห่างที่เกิดเหตุประมาณ 10 เมตร จำเลยที่ 1และที่ 2 ไม่มีอาวุธปืนติดตัวอยู่ด้วย คงมีปัญหาในชั้นฎีกาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะด้วยหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว คดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่เกี่ยวกับความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ส่วนที่โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าจำเลยที่ 1และที่ 2 ได้ให้การรับสารภาพในข้อหาทั้งสองนี้แล้ว ศาลย่อมพิพากษาลงโทษได้ทันทีนั้น เห็นว่าแม้ความผิดทั้งสองข้อหานี้ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพ ศาลสามารถพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ โดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐานประกอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์สืบพยานหลักฐานประกอบคำรับสารภาพในข้อหาปล้นทรัพย์แล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้กระทำผิดฐานมีและพาอาวุธปืนตามฟ้อง ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
สำหรับปัญหาว่าจำเลยที่ 3 มีความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนตามฟ้องหรือไม่นั้น เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ใช้อาวุธปืนในการปล้นทรัพย์และยิงผู้เสียหายแต่โจทก์มิได้อาวุธปืนดังกล่าวมาเป็นของกลาง และโจทก์มิได้นำสืบให้ได้ความว่าอาวุธปืนดังกล่าวเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ ทั้งมิได้นำสืบว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้รับอนุญาตให้มีและพาอาวุธปืนดังที่โจทก์ฟ้องจึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 3 ในสองข้อหานี้ได้ ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 3 มิได้พิสูจน์ความจริงว่าจำเลยที่ 3เคยมีใบอนุญาตให้มีและพาอาวุธปืนติดตัว แสดงว่าจำเลยที่ 3ไม่ได้รับอนุญาตให้มีและพาอาวุธปืนนั้นเป็นการพลักภาระหน้าที่นำสืบของโจทก์ไปให้จำเลยโดยไม่มีกฎหมายสนับสนุนฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน’
พิพากษายืน.