คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3277/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้วโจทก์จึงรับโอนที่ดินจาก บ.ผู้มีชื่อโฉนดที่ดินเพื่อตีใช้หนี้ก่อนโอนบ.ได้พาโจทก์มาดูที่พิพาท โจทก์ย่อมเห็นจำเลยปลูกบ้าน ปลูกต้นไม้ยืนต้นในที่ดินพิพาทอย่างถาวร เมื่อบ. บอกโจทก์ว่า จำเลยเช่าที่พิพาทปลูกบ้านอยู่อาศัยโจทก์เชื่อก็ไม่ได้ขอดูหลักฐานการเช่าจากบ.ทั้งโจทก์ก็ไม่ได้สอบถามจำเลยว่าเช่าที่พิพาทจริงหรือไม่ผิดวิสัยของผู้ซื้อที่ดินทั่วไป พฤติการณ์แสดงว่า ขณะโจทก์รับโอนที่ดิน โจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยเห็นเจ้าของที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ ดังนี้จะถือว่าโจทก์รับโอนที่พิพาทมาโดยสุจริตไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 110700 ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขนกรุงเทพมหานคร ร่วมกับนางอัมพร ภูนิรันดร์ และนางบุญเรือน ฐิติวรรณ มีบ้านเลขที่ 57 หมู่ที่ 2 ของจำเลยปลูกอยู่ในที่ดินแปลงนี้โดยไม่มีสัญญาเช่าหรือสัญญาอื่นใดกับเจ้าของที่ดินเดิม ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านเลขที่ 57 หมู่ที่ 2 ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานครออกไปจากที่ดินโฉนด เลขที่ 131962 และเลขที่ 131961ห้ามมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยได้ซื้อที่ดินดังกล่าวมาจากนางสาวสุ่น พาณิชย์เฮง เจ้าของเดิมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502และได้ครอบครองไว้โดยตรงสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของยี่สิบปีแล้ว จำเลยจึงเป็นเจ้าของที่ดินที่พิพาทโจทก์ทั้งสามรับโอนมาจากนางบุญเรือนโดยไม่สุจริต จำเลยได้รับความเสียหาย ขอให้เพิกถอนนิติกรรมยกให้ที่ดินโฉนดเลขที่110700 ระหว่างนางบุญเรือนกับโจทก์ทั้งสองในส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน และขอให้พิพากษาว่าส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 110700 ที่แยกมาจากโฉนดเดิมเนื้อที่ 1 ไร่เศษ ซึ่งต่อมาอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 131961 กับ131962 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โดยทางครอบครองทางปรปักษ์และขอให้สั่งเพิกถอนในส่วนที่กันเอาของจำเลยไป
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยอยู่โดยอาศัยสิทธิของนางสาวสุ่นเจ้าของเดิมที่จำเลยว่าได้กรรมสิทธิ์โดยครอบครองปรปักษ์นั้น จำเลยก็ต่อสู้นางบุญเรือนและโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่ได้รับโอนที่ดินมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทตามแผนที่พิพาทกลางซึ่งรวมอยู่ในที่ดินของโจทก์ที่ 1 ตามโฉนดเลขที่ 131962 และอยู่ในที่ดินของโจทก์ที่ 2 ตามโฉนดเลขที่ 131961 เนื้อที่ 1 ไร่22 เศษ 6 ส่วน 10 ตารางวา ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน (บางซื่อ)กรุงเทพมหานคร เป็นของจำเลย ให้ยกฟ้องโจทก์และยกฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนที่ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินระหว่างนางบุญเรือน ฐิติวรรณ กับโจทก์ทั้งสอง กับที่ขอให้เพิกถอนในส่วนที่ดินที่เป็นของจำเลยเสียเพราะเป็นการบังคับบุคคลภายนอกที่ไม่ถูกฟ้องในคดี
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้นำสืบโต้เถียงกันฟังได้ว่า เดิมที่ดินพิพาทตามแผนที่พิพาทกลางเอกสารหมายจ.2 ที่คู่ความให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดจัดทำขึ้นนั้นเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 290 แขวงลาดยาว เขตบางซื่อกรุงเทพมหานคร ตามสำเนาโฉนดเอกสารหมาย จ.19 เนื้อที่26 ไร่ 3 งาน 66 ตารางวา ซึ่งเป็นของนางสาวสุ่น พาณิชย์เฮงและนางกาหลงหรือหลง ไว้สาลี นางสาวสุ่นถึงแก่กรรมปีพ.ศ. 2517 นางกาหลงถึงแก่กรรมปี พ.ศ. 2518 จำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินแปลงนี้ตั้งแต่นางสาวสุ่นและนางกาหลงยังมีชีวิตอยู่และยังไม่ได้แบ่งแยกที่ดินแก่กันเป็นสัดส่วน เมื่อนางสาวสุ่นและนางกาหลงถึงแก่กรรมต่างมีผู้จัดการมรดกและได้แบ่งที่ดินออกเป็นของแต่ละคน เป็นส่วนของนางสาวสุ่น12 ไร่ 3 งาน 34 ตารางวา ตามโฉนดเลขที่ 110699 เป็นส่วนของนางกาหลงซึ่งได้โอนขายให้นางบุญเรือน ฐิติวรรณเมื่อปี พ.ศ. 2522 เนื้อที่ 12 ไร่ 3 งาน 53 ตารางวาตามสำเนาโฉนดเลขที่ 110700 เอกสารหมาย จ.4 ต่อมาปี2524 มีชื่อโจทก์ทั้งสองและนางอัมพร ภูนิรันดร์ ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงนี้ร่วมกับนางบุญเรือน ปี พ.ศ. 2528 ได้แบ่งแยกโฉนดที่ดินออกเป็นส่วนของโจทก์ที่ 1 ส่วนหนึ่ง เป็นของโจทก์ที่ 2และภรรยาส่วนหนึ่งเนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 15 ตารางวา และ 4 ไร่1 งาน 15 ตารางวา ตามสำเนาโฉนดเอกสารหมาย จ.11 และจ.3ตามลำดับปรากฏว่ามีบ้านของจำเลยปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ทั้งสองตั้งแต่ครั้งที่ดินพิพาทเป็นของนางสาวสุ่นและนางกาหลงปรากฏตามภาพถ่ายของที่ดินและบ้านจำเลยในแผนที่กลางพิพาท เอกสารหมาย จ.2คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ประการแรกว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของโฉนดที่ดินเลขที่ 131961 และ131962 ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานครจนได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมายแล้วหรือไม่ ประการที่สองโจทก์ที่ 1ได้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 131962 และโจทก์ที่ 2 ได้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 131961 มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาประการแรกจำเลยมีนางสงวน ลิ้มวัฒนาและนายดำเนิน เพ็งแพง เป็นพยานซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ ๆ กับจำเลยมาเป็นเวลานานตั้งแต่นางสาวสุ่นยังไม่ถึงแก่กรรมต่างเบิกความสอดคล้องตรงกันกับจำเลยว่า จำเลยได้ซื้อที่ดินพิพาทจากนางสาวสุ่นและได้ครอบครองโดยปลูกบ้านและต้นผลไม้ยืนต้นต่าง ๆ ในที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 ตลอดมาจนปัจจุบันเป็นเวลากว่ายี่สิบปีแล้วนอกจากนี้ยังมีหลักบานที่ชี้ให้เห็นว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทมาเกินกว่าสิบปีแล้วคือลักษณะบ้านจำเลยและขนาดต้นไม้ยืนต้นในที่ดินพิพาทตามภาพถ่ายในแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.2 และภาพถ่ายหมาย ล.2 ถึง ล.8ซึ่งเป็นบ้านปลูกถาวรมั่นคงต้นไม้ยืนต้นมีลำต้นใหญ่มีผลแล้วแสดงว่าปลูกมานานแล้ว ส่วนที่โจทก์ทั้งสองนำสืบว่าเดิมจำเลยอาศัยที่ดินพิพาทจากนางสาวสุ่น เมื่อที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินนางบุญเรือนแล้วนางบุญเรือนให้จำเลยเช่านั้นโจทก์ทั้งสองก็คงมีแต่นางบุญเรือนเป็นพยานเบิกความเช่นนั้นลอย ๆไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุน พยานโจทก์ทั้งสองที่นำสืบไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ ศาลฎีกาเชื่อว่า จำเลยได้ซื้อที่ดินพิพาทมาจากนางสาวสุ่นและได้ครอบครองที่ดินพิพาทไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาจำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ปัญหาต่อไปที่ว่า โจทก์ที่ 1 ได้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่131962 และโจทก์ที่ 2 ได้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 131961 มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วหรือไม่เห็นว่าก่อนนางบุญเรือนเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทนางบุญเรือนพยานโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยปลูกบ้านปลูกต้นไม้ยืนต้นอย่างถาวรมานาน และก่อนที่นางบุญเรือนจะเอาที่ดินซึ่งมีที่ดินพิพาทอยู่ด้วยตีใช้หนี้โจทก์ทั้งสองโดยให้โจทก์ทั้งสองเข้าชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมนั้น นางบุญเรือนพาโจทก์ทั้งสองมาดูที่ดินพิพาท โจทก์ทั้งสองย่อมเห็นจำเลยปลูกบ้านปลูกต้นไม้ยืนต้นในที่ดินพิพาทอย่างถาวร เมื่อนางบุญเรือนบอกโจทก์ทั้งสองว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทปลูกบ้านอยู่อาศัยโจทก์ทั้งสองก็เชื่อโดยโจทก์ทั้งสองไม่ได้ขอดูหลักฐานการเช่าจากนางบุญเรือน ทั้งโจทก์ทั้งสองก็มิได้สอบถามจำเลยว่าเช่าที่ดินพิพาทปลูกบ้านอยู่อาศัยจริงหรือไม่ จึงเป็นการผิดวิสัยของผู้ซื้อที่ดินทั่วไปที่จะกระทำเช่นนั้น พฤติการณ์ดังกล่าวศาลฎีกาเชื่อว่าโจทก์ทั้งสองรู้ว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทอันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 131961 และ 131962 จนได้ถือกรรมสิทธิ์ตามกฎหมายแล้ว แต่โจทก์ทั้งสองยังซื้อที่ดินซึ่งมีที่ดินพิพาทอยู่ด้วยโดยรับเอาเป็นการตีใช้หนี้จากนางบุญเรือน กรณีเช่นนี้จะถือว่าโจทก์ทั้งสองได้ที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตหาได้ไม่ จำเลยย่อมยกเอาการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทที่ยังมิได้จดทะเบียนขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ทั้งสองได้”
พิพากษายืน

Share