แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ทำสัญญาจะซื้อที่ดินไว้แล้วผิดสัญญาด้วยนั้น ไม่เรียกว่าเป็นผู้อยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทธิ์ของตนได้ก่อนผู้ที่ได้รับโอนที่ดินนั้นโดยถูกต้อง ++
ย่อยาว
ข้อเท็จจริงได้ความว่า  เดิมที่พิพาทรายนี้เป็นของนางถมยา  มารดานางฟัก  นางถมยาได้ทำสัญญาจำนำที่รายนี้ไว้กับโจทก์ต่ออำเภอ  ต่อมาโจทก์เร่งจะเอาเงิน  นางถมยาจึงบอกขายที่รายนี้แก่จำเลย  ขณะนั้นจำเลยไม่มีเงินพอจึงทำสัญญาจะซื้อที่นี้และวางเงินมัดจำไว้  โดยสัญญาว่าจะชำระเงินที่ค้างภายในเดือนกุมภาพันธ์  ๒๔๗๔  และโจทก์ได้ลงชื่อเป็นพะยานในสัญญานั้นด้วยต่อมาจำเลยไม่ชำระเงินที่ค้างภายในกำหนดโจทก์ทราบเรื่องดังกล่าวนั้นด้วย  เมื่อนางถมยาตาย  นางฟังจึงไปขอโอนรับมฤดกแล้วทำสัญญาขายที่ให้โจทก์ที่อำเภอ  โดยหักจำนวนหนี้ที่จำนำครั้นโจทก์รับซื้อที่ไว้จากนางฟักแล้ว  จึงได้ฟ้องขับไล่จำเลยในคดีนี้
ศาลชั้นต้นยกประมวลยกประมวลแพ่งฯ  ม.๑๓๐๐ ขึ้นวินิจฉัยว่า  โจทก์ทราบถึงสัญญาจะซื้อขายระหว่างนางถมยากับจำเลยแล้ว  โจทก์ยังขืนจดทะเบียนซื้อขายอีก  ได้ชื่อว่าโจทก์ทำการโดยไม่สุจริตจึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  สัญญาระหว่างจำเลยกับนางถมยมนั้นเป็นสัญญาจะซื้อขายและจำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงินตามกำหนด  จึงเรียกไม่ได้ว่าจำเลยเป็นบุคคล+อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิ์ในที่ดินรายนี้ได้  ตามประมวลแพ่งฯ  ม.๑๓๐๐  จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์  ให้ขับไล่จำเลย

