คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1490/2482

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ทำสัญญาจะซื้อที่ดินไว้แล้วผิดสัญญาด้วยนั้น ไม่เรียกว่าเป็นผู้อยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทธิ์ของตนได้ก่อนผู้ที่ได้รับโอนที่ดินนั้นโดยถูกต้อง ++

ย่อยาว

ข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมที่พิพาทรายนี้เป็นของนางถมยา มารดานางฟัก นางถมยาได้ทำสัญญาจำนำที่รายนี้ไว้กับโจทก์ต่ออำเภอ ต่อมาโจทก์เร่งจะเอาเงิน นางถมยาจึงบอกขายที่รายนี้แก่จำเลย ขณะนั้นจำเลยไม่มีเงินพอจึงทำสัญญาจะซื้อที่นี้และวางเงินมัดจำไว้ โดยสัญญาว่าจะชำระเงินที่ค้างภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๗๔ และโจทก์ได้ลงชื่อเป็นพะยานในสัญญานั้นด้วยต่อมาจำเลยไม่ชำระเงินที่ค้างภายในกำหนดโจทก์ทราบเรื่องดังกล่าวนั้นด้วย เมื่อนางถมยาตาย นางฟังจึงไปขอโอนรับมฤดกแล้วทำสัญญาขายที่ให้โจทก์ที่อำเภอ โดยหักจำนวนหนี้ที่จำนำครั้นโจทก์รับซื้อที่ไว้จากนางฟักแล้ว จึงได้ฟ้องขับไล่จำเลยในคดีนี้
ศาลชั้นต้นยกประมวลยกประมวลแพ่งฯ ม.๑๓๐๐ ขึ้นวินิจฉัยว่า โจทก์ทราบถึงสัญญาจะซื้อขายระหว่างนางถมยากับจำเลยแล้ว โจทก์ยังขืนจดทะเบียนซื้อขายอีก ได้ชื่อว่าโจทก์ทำการโดยไม่สุจริตจึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาระหว่างจำเลยกับนางถมยมนั้นเป็นสัญญาจะซื้อขายและจำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงินตามกำหนด จึงเรียกไม่ได้ว่าจำเลยเป็นบุคคล+อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิ์ในที่ดินรายนี้ได้ ตามประมวลแพ่งฯ ม.๑๓๐๐ จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ขับไล่จำเลย

Share