แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด โดยตกลงว่าจำเลยจะเบิกเงินจากบัญชีกระแสรายวันโดยใช้เช็ค การที่โจทก์นำสืบว่า ยอดหนี้ในบัญชีกระแสรายวันซึ่งใช้เป็นบัญชีเดินสะพัดที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดเกิดจากจำเลยเป็นร้านค้าสมาชิกรับบัตรเครดิตของโจทก์แล้วจำเลยนำเซลส์สลิปที่ พ. ซื้อสินค้าจากจำเลยโดยใช้บัตรเครดิตของโจทก์ไปเรียกเก็บเงินจากโจทก์ โจทก์นำเงินจำนวนดังกล่าวฝากเข้าบัญชีกระแสรายวันของจำเลยและจำเลยใช้เช็คเบิกถอนเงินไปแล้ว ต่อมาโจทก์เรียกเก็บเงินจาก พ. ไม่ได้ โจทก์จึงนำจำนวนเงินดังกล่าวมาหักออกจากบัญชีกระแสรายวันของจำเลยนั้น เป็นการนำสืบที่มาของหนี้ตามบัญชีกระแสรายวันที่โจทก์และจำเลยใช้เป็นบัญชีเดินสะพัดว่าเพราะเหตุใดจำเลยจึงเป็นหนี้โจทก์ โดยโจทก์ยังคงขอให้บังคับจำเลยตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดที่โจทก์ฟ้อง มิได้ขอให้บังคับจำเลยตามสัญญาอื่นแต่อย่างใด ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้จำเลยรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๒๓,๓๑๐.๕๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๙.๗๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๒,๘๒๘.๗๗ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๒๓,๓๑๐.๕๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๙.๗๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๒,๘๒๘.๗๗ บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๑) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๑,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๑,๕๐๐ บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยเปิดบัญชีเดินสะพัด ประเภทบัญชีกระแสรายวันกับโจทก์ โดยจำเลยใช้เช็คในการเบิกถอนเงินจากบัญชีดังกล่าว และจำเลยเป็นร้านค้าสมาชิกรับบัตรเครดิตของโจทก์ ต่อมาจำเลยนำเซลส์สลิปของนางสาวพัชรินทร์ อภิชาติภุชงค์ ที่มาซื้อสินค้าของจำเลยโดยใช้บัตรเครดิตของโจทก์ไปเรียกเก็บเงินจากโจทก์ โจทก์ได้นำเงินค่าซื้อสินค้าดังกล่าวเข้าบัญชีกระแสรายวันของจำเลยเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อโจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์จึงนำเงินค่าสินค้าดังกล่าวมาหักทอนกับเงินในบัญชีกระแสรายวันดังกล่าวทำให้จำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ ต่อมาโจทก์บอกเลิกสัญญาแก่จำเลย คำนวณถึงวันฟ้องจำเลยค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยรวม ๒๓,๓๑๐.๕๑ บาท
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้จำเลยรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ เป็นการวินิจฉัยนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด การที่โจทก์นำสืบว่า ยอดหนี้ในบัญชีกระแสรายวันซึ่งใช้เป็นบัญชีเดินสะพัดที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดเกิดจากจำเลยเป็นร้านค้าสมาชิกรับบัตรเครดิตของโจทก์ แล้วจำเลยนำเซลส์สลิปที่นางสาวพัชรินทร์ อภิชาติภุชงค์ ซื้อสินค้าจากจำเลยโดยใช้บัตรเครดิตของโจทก์ไปเรียกเก็บเงินจากโจทก์ โจทก์นำเงินจำนวนดังกล่าวฝากเข้าบัญชีกระแสรายวันของจำเลยและจำเลยใช้เช็คเบิกถอนเงินไปแล้ว ต่อมาโจทก์เรียกเก็บเงินจากนางสาวพัชรินทร์ไม่ได้ โจทก์จึงนำจำนวนเงินดังกล่าวมาหักออกจากบัญชีกระแสรายวันของจำเลยนั้น เป็นการนำสืบที่มาของหนี้ตามบัญชีกระแสรายวันที่โจทก์และจำเลยใช้เป็นบัญชีเดินสะพัดว่าเพราะเหตุใดจำเลยจึงเป็นหนี้โจทก์ โดยโจทก์ยังคงขอให้บังคับจำเลยตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดที่โจทก์ฟ้อง มิได้ขอให้บังคับจำเลยตามสัญญาอื่นแต่อย่างใด ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้จำเลยรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ จึงหาเป็นการวินิจฉัยนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ มีคำพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ.