คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3274-3275/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง วางหลักในการฎีกาว่า ฎีกาจะต้องคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ไม่ถูกต้องด้วยข้อเท็จจริงและไม่ชอบด้วยเหตุผลอย่างไร คดีนี้โจทก์ฎีกาโดยคัดลอกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนวินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยแต่ละคน โดยไม่ได้ยกข้อเท็จจริงและเหตุผลขึ้นโต้แย้งว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงมานั้นไม่ถูกต้องด้วยข้อเท็จจริงและไม่ชอบด้วยเหตุผลอย่างไร ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวน ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ เรียกจำเลยที่ 1 ในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 เรียกจำเลยที่ 2 ในสำนวนแรกและจำเลยที่ 1 ในสำนวนหลังว่า จำเลยที่ 2 และเรียกจำเลยที่ 3 ในสำนวนแรกและจำเลยที่ 2 ในสำนวนหลังว่า จำเลยที่ 3
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 66, 91, 97, 100/1 และ 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83 และ 91 ริบของกลาง เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน และข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ด 3 ถุง น้ำหนัก 1.033 กรัม และชนิดเม็ด 3 หน่วยการใช้ น้ำหนัก 0.282 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพข้อหาเสพเมทแอมเอฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 4,000,000 บาท จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคสองและวรรคสาม, 91 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนปริมาณสารบริสุทธิ์เกินกว่ายี่สิบกรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 4,000,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนปริมาณสารบริสุทธิ์ไม่เกินยี่สิบกรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 6 ปี และปรับ 400,000 บาท เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนปริมาณสารบริสุทธิ์เกินกว่ายี่สิบกรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เมื่อวางโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้ว จึงไม่อาจเพิ่มโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 51 แต่ให้เพิ่มโทษปรับกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 เป็นจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต และปรับ 6,000,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 9 เดือน ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนปริมาณสารบริสุทธิ์ไม่เกินยี่สิบกรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นจำคุก 9 ปี และปรับ 600,000 บาท สำหรับความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน และฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนปริมาณสารบริสุทธิ์ไม่เกินยี่สิบกรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 4 เดือน 15 วัน ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนปริมาณสารบริสุทธิ์ไม่เกินยี่สิบกรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 4 ปี 6 เดือน และปรับ 300,000 บาท จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (2), 57, 66 วรรคสองและวรรคสาม, 91, 100/1 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนปริมาณสารบริสุทธิ์เกินยี่สิบกรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 4,000,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนปริมาณสารบริสุทธิ์ไม่เกินยี่สิบกรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 6 ปี และปรับ 400,000 บาท สำหรับความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือน เมื่อรวมโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทุกกระทงแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) และปรับจำเลยที่ 2 รวม 6,300,000 บาท ปรับจำเลยที่ 3 รวม 4,400,000 บาท หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้เกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีน โทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 08 0750 xxxx, 08 4773 xxxx อุปกรณ์การเสพยาเสพติดของกลาง คืนโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 08 0292 xxxx, 08 8369 xxxx ของกลาง แก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคสอง และวรรคสาม, 91 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 57, 67, 91 การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามมีเมทแอมเฟตามีนมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินยี่สิบกรัมขึ้นไปไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 33 ปี 4 เดือน และปรับ 2,666,666.67 บาท เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 ฐานพยายามมีเมทแอมเฟตามีนมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินยี่สิบกรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 49 ปี 12 เดือน และปรับ 4,000,000 บาท ฐานมีเมทแอมเฟตามีนมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินยี่สิบกรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 9 ปี และปรับ 600,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 9 เดือน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินยี่สิบกรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกฐานมีเมทแอมเฟตามีนมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินยี่สิบกรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปี 6 เดือน และปรับ 300,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 เดือน 15 วัน จำคุกจำเลยที่ 3 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต มีกำหนด 1 ปี ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) และปรับ 4,300,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 1 ปี 3 เดือน หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้เกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง 3 เม็ด และยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 3 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนซึ่งคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 596.811 กรัม และ 0.986 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 วรรคหนึ่ง วางหลักในการฎีกาว่า ฎีกาจะต้องคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ คดีนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินยี่สิบกรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายว่า พยานโจทก์เบิกความถึงพฤติการณ์ในการส่งมอบเมทแอมเฟตามีนระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยไม่ปรากฏชัดเจนว่า ขณะที่จำเลยที่ 2 ส่งถุงกระดาษสีม่วงให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ส่งถุงสีฟ้าให้แก่จำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 1 อยู่บริเวณใด ทั้งตามภาพถ่าย ปรากฏว่า รถกระบะยี่ห้อโตโยต้า สีดำ ที่พันตำรวจโท ไมตรี ขับมานั้น จอดปิดท้ายรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า รุ่นแจ๊ส ไว้ มิใช่จอดข้าง ๆ ตามที่พยานโจทก์เบิกความและภาพที่เพิ่งจับกุมจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ ไม่ปรากฏภาพถ่ายของจำเลยที่ 1 อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ส่งมอบเมทแอมเฟตามีนให้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ส่งมอบถุงเงินให้แก่จำเลยที่ 1 แล้ว จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ยึดถือเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองแล้ว น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ในการขนเมทแอมเฟตามีนเท่านั้น พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมารับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดใกล้ชิดกับความผิดสำเร็จแล้ว จึงเป็นการพยายามมีเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวไว้ในครอบครอง ส่วนจำเลยที่ 3 นั้นจากทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า มีส่วนร่วมรู้เห็นกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประการใด ลำพังแต่เพียงการมาด้วยกันโดยรถยนต์ซึ่งเป็นของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 มีพฤติการณ์เสพเมทแอมเฟตามีน นั้น กรณียังเป็นที่สงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 กระทำความผิดหรือไม่ โจทก์ฎีกาโดยคัดลอกคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งวินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดในข้อหานี้ สรุปได้ว่า สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินยี่สิบกรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้น จากทางนำสืบของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่นำสืบว่า เหตุที่มาจังหวัดมุกดาหารเนื่องจากต้องการมาเที่ยวตลาดอินโดจีนเพื่อหาซื้อสินค้าไปขายและมาที่โรงพยาบาลมุกดาหารอินเตอร์ในวันเกิดเหตุเนื่องจากจำเลยที่ 2 ต้องการไปล้างแผล เมื่อไปถึงนางปอนไม่ปรากฏชื่อสกุลเพื่อนของจำเลยที่ 2 โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยที่ 2 ช่วยชำระหนี้ให้โดยไม่ทราบว่าเป็นหนี้ค่าอะไร ก็ขัดต่อเหตุผลเพราะนางปอนไม่น่าจะทราบว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 อยู่บริเวณที่สามารถส่งมอบเงินให้จำเลยที่ 1 ได้ ส่วนที่จำเลยที่ 3 อ้างว่าเดินทางมาจังหวัดมุกดาหารเพียงเพราะมาเที่ยวตลาดอินโดจีนนั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ของจำเลยที่ 3 ที่เดินทางมากับจำเลยที่ 2 จากกรุงเทพมหานคร และขณะที่จำเลยที่ 2 มารับเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 ก็ร่วมเดินทางมาด้วย ทั้งยังพบเมทแอมเฟตามีน อุปกรณ์การเสพยาเสพติดภายในห้องพักของจำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยเมทแอมเฟตามีนไม่ได้อยู่ในลักษณะปกปิดซ่อนเร้นว่าเป็นของจำเลยที่ 2 โดยเฉพาะและยังตรวจพบสารเสพติดภายในร่างกายของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ดังนี้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เชื่อว่าจำเลยที่ 3 รู้เห็นเป็นใจร่วมกับจำเลยที่ 2 มารับเมทแอมเฟตามีน ซึ่งฎีกาของโจทก์ไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ถูกต้องอย่างไร หรือมีข้อเท็จจริงและเหตุผลใดที่หักล้างคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำความผิดข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินยี่สิบกรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เพียงแต่กล่าวอ้างว่าพยานโจทก์รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 เท่านั้น
ส่วนความผิดของจำเลยที่ 2 ในข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน 3 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 0.049 กรัมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยที่ 3 ข้อหาร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดใส 3 ถุง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 0.986 กรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย นั้น ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า แม้จะตรวจค้นห้องพักพบเมทแอมเฟตามีนชนิดเม็ดและชนิดเกล็ดในห้องพักเดียวกันแต่ก็อยู่คนละตำแหน่งกัน จึงน่าจะเป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่างนำเมทแอมเฟตามีนติดตัวมาโดยไม่เกี่ยวข้องกัน ประกอบกับโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีนครึ่งเม็ดโดยวิธีรับประทาน ไม่ใช่เสพเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ด และเมื่อตรวจพบเมทแอมเฟตามีนภายในห้องพัก จำเลยที่ 3 ก็รับแต่เพียงว่าเมทแอมเฟตามีนชนิดเม็ดเป็นของตนเอง โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2 ครอบครองเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ด จึงไม่อาจฟังว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ครอบครองเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดใส 3 ถุง และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ 2 มิได้ร่วมครอบครองเมทแอมเฟตามีน 3 เม็ด ของจำเลยที่ 3 ด้วย โจทก์ฎีกาโดยคัดลอกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่วินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในข้อหานี้สรุปได้ว่า พฤติการณ์ของจำเลยที่ 3 ที่เดินทางมากับจำเลยที่ 2 จากกรุงเทพมหานครและขณะที่จำเลยที่ 2 มารับเมทแอมเฟตามีนกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 ก็ร่วมเดินทางมาด้วย ทั้งยังพบเมทแอมเฟตามีน อุปกรณ์การเสพยาเสพติดภายในห้องพักของจำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยเมทแอมเฟตามีนไม่ได้อยู่ในลักษณะปกปิดซ่อนเร้นว่าเป็นของจำเลยที่ 2 โดยเฉพาะและยังตรวจพบสารเสพติดภายในร่างกายของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ดังนี้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเชื่อว่าจำเลยที่ 3 รู้เห็นเป็นใจร่วมกับจำเลยที่ 2 ร่วมครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางที่พบในห้องพัก พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมารับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดใส 3 ถุง และชนิดเม็ด 3 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามฟ้องโจทก์แล้ว ซึ่งฎีกาของโจทก์ในประเด็นนี้ก็ไม่ได้ยกข้อเท็จจริงและเหตุผลขึ้นโต้แย้งว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงมานั้นไม่ถูกต้องด้วยข้อเท็จจริงและไม่ชอบด้วยเหตุผลอย่างไร มีข้อเท็จจริงและเหตุผลใดที่หักล้างข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำความผิดตามฟ้อง ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาของโจทก์

Share