แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่หาว่า จำเลยตัดฟันและชักลากไม้หวงห้ามจากที่ป่าหากข้อเท็จจริงพอสันนิษฐานได้ในเบื้องต้นว่าที่รายพิพาทเป็นที่ป่า แต่จำเลยจะขอนำสืบพยานต่อไปว่าไม่ใช่ที่ป่า จึงจะพ้นผิด ดังนี้ ศาลต้องดำเนินการสืบพยานจำเลยต่อไป จะสั่งงดเสียมิได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่28/2492)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยสมคบกับพวกตัดฟันไม้สัก 72 ต้น อันเป็นไม้หวงห้ามจากที่ป่า และจำเลยกับพวกได้ชักลากไม้จากที่ป่ามาไว้ยังบ้านผู้มีชื่อ โดยมิได้รับอนุญาตจำเลยให้การว่าได้ตัดฟันไม้สัก 72 ต้นในที่ดินของผู้มีชื่อครอบครองถือกรรมสิทธิ และอนุญาตให้จำเลยตัดฟันเพื่อเอาที่ดินทำเป็นนา จำเลยร้องขอสืบพยานต่อไป
ศาลชั้นต้นสอบคู่ความแล้ว สั่งงดสืบพยานจำเลยที่จะขอสืบว่าที่ดินที่ต้นสักขึ้นไม่ใช่ที่ป่า พิพากษาว่าจำเลยตัดฟันไม้สักในที่ที่ซึ่งมีเจ้าของ ไม่ใช่ไม้หวงห้าม ไม่มีความผิด และฟ้องโจทก์ในฐานชักลากไม้ไม่ได้กล่าวว่าจำเลยมิได้มีใบเบิกทางตามข้อกำหนดในกฎกระทรวงเป็นฟ้องเคลือบคลุม ให้ยกฟ้อง คืนของกลาง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ไม้สักในป่าทั่วไปเป็นไม้หวงห้าม และฟ้องโจทก์ก็ชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยชักลากไม้จากที่ป่า พิพากษากลับให้ปรับจำเลยตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ 2484 มาตรา 11, 73 กระทงหนึ่ง 500 บาท และฐานชักลากไม้ตามมาตรา 39, 71 อีกกระทงหนึ่ง 50 บาทริบไม้ของกลาง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ตามแผนที่และคำแถลงในรายงานพิจารณาพอสันนิษฐานได้ในเบื้องต้นว่า ที่รายพิพาทเป็นที่ป่า แต่จำเลยยังร้องขอสืบพยานต่อไป หากจำเลยสืบได้ว่าไม่ใช่ที่ป่าจึงจะพ้นผิด
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลย แล้วพิพากษาใหม่