แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 เช่าทำนา นาย ป. บิดาจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาแทนจำเลยที่ 1ตกลงจะขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์โดยมิได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบเพียงแต่ตกลงกันให้โจทก์ไปตกลงกับจำเลยที่ 2 เอง ต่อมาจำเลยที่ 2ขออายัดที่ดินพิพาท และคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลมีมติให้จำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2 แล้วจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทไว้ การที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสอง และขอให้บังคับจำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์เป็นการขอให้แก้ไขหรือยกเลิกมติของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำ ตำบล ก่อนที่จะมีการอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 56เป็นการข้ามขั้นตอนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ และการที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ยังเป็นการขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ละเว้นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 53วรรคหนึ่ง ที่ต้องแจ้งให้ผู้เช่านาทราบถึงการจะขายนาและให้ผู้เช่านาได้แสดงความจำนงจะซื้อนาก่อนอีกด้วย และเมื่อโจทก์เป็นเพียงผู้จะซื้อที่ดินพิพาทยังมิใช่เจ้าของที่ดินแปลงดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยโดยอาศัยอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ ขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อขายและขอให้ห้ามจำเลยที่ 2 เข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทนั้น.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายประวิทย์ จิตร์อำพัน ทำสัญญาจะซื้อขายที่นาพิพาทให้โจทก์รับเงินมัดจำจากโจทก์เป็นเงิน 10,000 บาท และค่าธรรมเนียม 10,000 บาท ครั้นถึงกำหนดนายประวิทย์ไม่สามารถโอนที่ดังกล่าวให้โจทก์ได้เพราะนายประวิทย์ได้โอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยที่ 1 ไปแล้ว จำเลยที่ 1 ได้เข้าเสนอตนยอมรับว่าได้มอบอำนาจให้นายประวิทย์ไปทำการขายแทนจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายประวิทย์สมคบกันให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เช่านาพิพาทขออายัดที่ดินแปลงนั้นเพื่อมิให้ขายให้โจทก์และได้สมคบกันจัดให้มีการยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเพื่อให้มีมติให้จำเลยที่ 2เป็นผู้ซื้อที่ดินได้ก่อน จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงได้ทำสัญญาจะซื้อขายกัน โดยจำเลยทั้งสองหวังกำไรจากการขายที่ดินให้บุคคลภายนอกซึ่งได้เงินมากกว่าขายให้โจทก์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาจะซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 ฉบับลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2528 ให้จำเลยที่ 1โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ หากไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ห้ามมิให้จำเลยที่ 2 เข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าที่ดินดังกล่าวทำนา จำเลยทั้งสองมิได้สมคบกันอายัดที่ดินพิพาทและมิได้สมคบกันยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเพื่อมิให้ขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ หากเป็นการกระทำของจำเลยที่ 2 อาศัยสิทธิตามกฎหมายโดยสุจริต จำเลยที่ 1 มอบให้นายประวิทย์ จิตร์อำพัน บิดาจำเลยที่ 1ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทให้นายสังวาลย์ คงพุกา บิดาโจทก์รับมัดจำไว้ 10,000 บาท และให้ผู้ซื้อไปตกลงกับผู้เช่าเองโดยผู้ขายไม่รับผิดชอบ ถึงวันนัดไม่สามารถจดทะเบียนโอนได้เพราะเจ้าพนักงานที่ดินไม่ยอมทำให้และแจ้งให้ไปตกลงกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทเสียก่อน ในที่สุดก็ไม่สามารถตกลงกันได้ ซึ่งโจทก์จะต้องรับผิดตามสัญญาส่วนเงินมัดจำที่บิดาโจทก์มอบให้บิดาจำเลยที่ 1 มีเพียง 10,000 บาท มิใช่ 20,000 บาท เนื่องจากโจทก์ผิดสัญญาจำเลยที่ 1 จึงริบเงินจำนวนนี้เสีย การที่จำเลยที่ 1 กับที่ 2ไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ได้เพราะโจทก์ฟ้องนายประวิทย์จิตร์อำพัน เป็นคดีอาญาข้อหาฉ้อโกงและศาลพิพากษายกฟ้องไปแล้วโจทก์นำคดีมาฟ้องเป็นคดีนี้อีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 5623 ให้โจทก์ตามฟ้องโดยให้ชำระราคาค่ามัดจำได้เพียง 10,000บาท หากไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 และห้ามจำเลยที่ 2 เข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวคำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ให้จำเลยที่ 2เช่าทำนา นายประวิทย์ จิตร์อำพัน บิดาของจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาแทนจำเลยที่ 1 ตกลงว่าจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในราคาไร่ละ20,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 มิได้ทำหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบว่ามีความจำนงจะขายที่ดินพิพาทเพื่อให้โอกาสแก่จำเลยที่ 2 ได้ซื้อก่อนบุคคลอื่น เพียงแต่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อขายว่า “ส่วนเรื่องผู้เช่าที่ดินนั้นผู้ซื้อกับผู้เช่าไปตกลงกันเอง ผู้ขายไม่รับผิดชอบ” จำเลยที่ 2 ได้ขออายัดที่ดินพิพาทไว้ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสาคร ต่อมาคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลได้มีมติให้จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2ทั้งสองฝ่ายจึงได้ทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทฉบับลงวันที่12 กุมภาพันธ์ 2528 คดีมีปัญหาที่สมควรวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ปัญหานี้แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 2 จึงมีสิทธิฎีกาในปัญหานี้ได้ เห็นว่า ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ฉบับลงวันที่12 กุมภาพันธ์ 2528 และขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์นั้น เป็นการขอให้แก้ไขหรือยกเลิกมติของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล ก่อนที่จะมีการอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 56 เป็นการข้ามขั้นตอนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยเฉพาะคำขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จัดการโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ดังกล่าวข้างต้นยังเป็นการขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ละเว้นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 53ซึ่งบัญญัติไว้ในวรรคหนึ่งว่า “ผู้ให้เช่านาจะขายนาได้ต่อเมื่อได้แจ้งให้ผู้เช่านาทราบโดยทำเป็นหนังสือแสดงความจำนงจะขายนาพร้อมทั้งระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินยื่นต่อประธานคชก.ตำบล เพื่อแจ้งให้ผู้เช่านาทราบภายในสิบห้าวันและถ้าผู้เช่านาแสดงความจำนงจะซื้อนาเป็นหนังสือยื่นต่อประธาน คชก.ตำบลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ผู้ให้เช่านาต้องขายนาแปลงดังกล่าวให้ผู้เช่านาตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ได้แจ้งไว้” และคำขอท้ายฟ้องในข้อ 3 ที่ขอให้ห้ามจำเลยที่ 2 เข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทนั้น เป็นการขอให้บังคับโดยอาศัยอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์เมื่อโจทก์เป็นเพียงผู้จะซื้อที่ดินพิพาทยังมิใช่เจ้าของที่ดินแปลงดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะห้ามจำเลยที่ 2 ตามคำขอของโจทก์ในข้อนี้ด้วยเช่นกัน โดยเหตุนี้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น และศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแม้จำเลยที่ 1 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมาก็ให้คำพิพากษานั้นมีผลไปถึงจำเลยที่ 1 ด้วย เพราะเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1)ประกอบด้วยมาตรา 247
พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.