คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2651/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ฟ้องโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลภายใน 7 วัน ให้คู่ความฟังแล้วโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์ไม่มีเจตนาที่จะไม่เสียเงินค่าขึ้นศาล และขอนำเงินค่าขึ้นศาลมาวางต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 30 วัน นับตั้งแต่วันยื่นคำร้องขอเป็นต้นไป ศาลชั้นต้นอนุญาตตามขอต่อมาโจทก์วางเงินค่าขึ้นศาลครบถ้วน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้องของโจทก์ มีความหมายว่าศาลชั้นต้นยอมรับคำฟ้องของโจทก์แล้ว เมื่อจำเลยยื่นคำให้การแก้คดีก็หาได้โต้แย้งการรับฟ้องของศาลแต่อย่างใดการที่โจทก์แก้ไขข้อขัดข้องด้วยการนำเงินค่าขึ้นศาลมาวางครบถ้วนแล้วจึงไม่มีเหตุขัดข้องอะไรที่ศาลจะไม่รับคำฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๒๗ เจ้าพนักงานประเมินแจ้งให้โจทก์เสียภาษีเงินได้ประจำปี พ.ศ.๒๕๒๐ เพิ่มจำนวน ๑๓,๙๙๘,๖๐๓.๒๒ บาท โดยหักค่าใช้จ่ายในการซื้อที่ดินให้เพียง ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท มิได้หักให้จำนวน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นทุนที่โจทก์ซื้อมาจากพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล โจทก์มีสิทธิหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ตามความจำเป็นและสมควร โจทก์อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งได้แก่จำเลยที่ ๒ถึงที่ ๔ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของโจทก์และแจ้งให้โจทก์ทราบเมื่อวันที่ ๗พฤษภาคม ๒๕๒๘ โจทก์จึงขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ให้เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินใหม่โดยหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่โจทก์มีสิทธิหักได้เสียให้ถูกต้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีของโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนเงินที่มีคำขอให้เพิกถอน ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลจำนวนที่ขาดภายใน ๗ วัน โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเปลี่ยนแปลงคำสั่งโดยโจทก์ยืนยันว่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ พร้อมกับสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลที่โจทก์เสียไว้ให้โจทก์ทั้งหมด
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
วันนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โจทก์ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นจึงอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๓๐ โดยถือว่าได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังแล้ว ต่อมาวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๓๐ โจทก์ยื่นคำร้องขอวางเงินค่าขึ้นศาลภายใน ๓๐ วัน นับแต่ศาลมีคำสั่ง ขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๐ ว่า “อนุญาตให้โจทก์นำค่าธรรมเนียมมาชำระภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันนี้” โจทก์ได้นำค่าขึ้นศาลมาชำระเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๓๐ ศาลชั้นต้นสั่งรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่เป็นความจริง การหักค่าใช้จ่ายให้โจทก์ตามความจำเป็นและสมควรตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๔๕ ประกอบพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ ๑๑ มาตรา ๘ ทวิ ซึ่งหักค่าใช้จ่ายตามมาตรา ๖๘ ทวิ และ ๖๘ ตรี แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันนัดสืบพยานโจทก์ว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งรับคำฟ้องและอนุญาตให้โจทก์นำค่าขึ้นศาลมาชำระใน ๓๐ วัน กับยกคำร้องที่โจทก์ขอชำระค่าขึ้นศาลใน ๓๐ วันเสียคืนค่าขึ้นศาลทั้งสองศาลแก่โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์ไม่มีเจตนาที่จะไม่เสียเงินค่าขึ้นศาลเพียงแต่โจทก์เห็นว่าเป็นคดีที่ขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เท่านั้น โจทก์จะขอนำเงินค่าขึ้นศาลมาวางต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด ๓๐ วัน นับตั้งแต่วันยื่นคำร้องขอเป็นต้นไป ศาลชั้นต้นอนุญาตตามขอและต่อมาโจทก์วางเงินค่าขึ้นศาลครบถ้วน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้องของโจทก์ มีความหมายว่าศาลชั้นต้นยอมรับคำฟ้องในคดีนี้ของโจทก์แล้ว เมื่อจำเลยยื่นคำให้การแก้คดี จำเลยก็หาได้โต้แย้งการรับฟ้องของศาลแต่อย่างใด จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อมาตามระเบียบ ไม่ถือว่าเป็นการขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แต่อย่างใด เพราะคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีสาระสำคัญในการให้ความเห็นชอบกับศาลชั้นต้นว่าคดีของโจทก์ขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้มากกว่าที่จะไม่รับฟ้องของโจทก์ เมื่อโจทก์ได้แก้ไขข้อขัดข้องโดยนำเงินค่าขึ้นศาลมาวางครบถ้วนแล้ว ก็ไม่มีเหตุขัดข้องอะไรอีกที่ศาลจะไม่รับคำฟ้อง ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้จึงชอบแล้วแต่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้พิจารณาและพิพากษาไปตามประเด็นแห่งคดี ครั้นศาลฎีกาเห็นสมควรที่จะพิจารณาพิพากษาต่อไป ก็ปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานทั้งโจทก์และจำเลย ซึ่งพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่โต้แย้งกันระหว่างโจทก์และจำเลยดังกล่าว จะต้องวินิจฉัยจากพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานของทั้งสองฝ่ายจึงไม่ชอบ
พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาเริ่มจากการสืบพยานของโจทก์และจำเลยแล้วทำการพิพากษาไปใหม่ตามรูปคดี.

Share