คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2705/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลลงโทษจำเลยกับพวกฐานใดฐานหนึ่งระหว่างร่วมกันลักลอบนำเลื่อยโซ่ยนต์ของกลางที่เจ้าพนักงานยึดไว้อันเป็นของที่ผลิตในต่างประเทศที่ยังมิได้ผ่านด่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงการเสียค่าภาษีศุลกากรและโดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษี หรือร่วมกันซื้อ รับจำนำ ช่วยซ่อนเร้นช่วยจำหน่าย หรือรับไว้ ซึ่งเลื่อยโซ่ยนต์ของกลาง โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่มีผู้ลักลอบนำหนีศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรที่ต้องเสียสำหรับของนั้น ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27,27 ทวิ จำเลยทั้งสองให้การว่าได้รับทราบคำฟ้องของโจทก์โดยตลอดแล้ว ให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดและเป็นความจริงตามฟ้องโจทก์ทุกประการ ไม่ขอต่อสู้และไม่ต้องการทนายความ ซึ่งคำว่าทราบหมายความว่ารู้หรือเข้าใจ แสดงว่าศาลได้อธิบายฟ้องให้จำเลยฟังเข้าใจแล้ว จำเลยจึงได้ให้การเท้าความว่าจำเลยได้ทราบคำฟ้องของโจทก์โดยตลอดแล้ว และโจทก์เองก็ได้ลงลายมือชื่อไว้ในคำให้การของจำเลยและรายงานกระบวนพิจารณาด้วย หากโจทก์เห็นว่า คำให้การของจำเลยที่ศาลจดไว้ไม่ชัดแจ้ง โจทก์ก็ชอบที่จะคัดค้านหรือแถลง ขอสืบพยานต่อไปเพราะเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่ต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำความผิดของจำเลย เมื่อโจทก์ไม่นำสืบให้ได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐานใดแน่ก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ และคดีไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่ทั้งหมดหรือบางส่วนและพิพากษาใหม่แต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่หลบหนีได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปเลื่อยตัดทำไม้ยาง โดยตัดฟันออกจากต้น แล้วทอนเป็นแผ่นจำนวน 4 แผ่น ในบริเวณป่าสงวนแห่งชาติ ป่าภูเขาแก้ว และป่าดงปากชมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและมิได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย และวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ได้มีผู้ลักลอบนำเลื่อยโซ่ยนต์ 2 เครื่อง ราคาเครื่องละ5,000 บาท ซึ่งเป็นของที่ผลิตในต่างประเทศยังมิได้เสียค่าภาษีและมิได้ผ่านศุลกากร โดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงการเสียค่าภาษีศุลกากร และโดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษี เครื่องละ 1,500 บาทรวมราคาของและค่าอากรเป็นเงิน 13,000 บาท ต่อมาเจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมไม้ยางแปรรูป 4 แผ่น และเลื่อยโซ่ยนต์2 เครื่องดังกล่าวเป็นของกลาง ทั้งนี้จำเลยทั้งสองกับพวกที่หลบหนีได้ร่วมกันลักลอบนำเลื่อยโซ่ยนต์ของกลาง ซึ่งเป็นของที่ผลิตในต่างประเทศที่ยังมิได้เสียภาษี และมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงการเสียค่าภาษีศุลกากร และโดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีหรือมิฉะนั้นจำเลยทั้งสองกับพวกที่หลบหนีได้ร่วมกันซื้อรับจำนำ ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย หรือรับไว้ ซึ่งเลื่อยโซ่ยนต์ของกลาง โดยจำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่มีผู้ลักลอบนำหนีศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรที่ต้องเสียสำหรับของนั้น ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 4, 6, 9, 14, 31, 35 พระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 27, 27 ทวิ พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 4, 5, 6, 7, 8, 9ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91 ริบของกลาง จ่ายสินบนนำจับและเงินรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 27 ทวิ เรียงกระทงลงโทษ ลงโทษฐานทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำคุกคนละ 6 เดือน และปรับคนละ5,600 บาท ลงโทษตามกฎหมายศุลกากรปรับสี่เท่าของราคาของรวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วเป็นเงินคนละ 52,000 บาท รวมจำคุกคนละ 6 เดือนและปรับคนละ 109,600 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยคนละ 3 เดือน และปรับคนละ 54,800 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ริบของกลางจ่ายสินบนนำจับร้อยละ 30 จ่ายรางวัลร้อยละ 15 ของค่าปรับตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. 2489
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำเลยทั้งสองในความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากรไม่ถูกต้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากรตามฟ้องแสดงว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานใดฐานหนึ่งเพียงฐานเดียวจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ไม่ชัดเจนว่าจำเลยทั้งสองรับสารภาพว่ากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากรฐานใดเมื่อโจทก์ไม่สืบพยานจึงลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากรไม่ได้ และที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยคนละ 6 เดือนและปรับคนละ 5,600 บาท ซึ่งต่ำกว่าอัตราโทษขั้นต่ำตามกฎหมาย โจทก์มิได้อุทธรณ์ จึงไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยทั้งสองให้หนักกว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคสองกำหนดโทษจำคุกและปรับให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกคนละ 3 เดือนและปรับคนละ 2,800 บาท ให้ยกฟ้องความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากรไม่จ่ายสินบนนำจับ เงินรางวัลและไม่ริบเลื่อยโซ่ยนต์ของกลางนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมิได้อธิบายฟ้องให้จำเลยทั้งสองฟัง และมิได้จดคำให้การให้ชัดเจน อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยการพิจารณาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบที่จะมีคำสั่งยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น แล้วกำหนดให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่ทั้งหมดหรือบางส่วน และพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 นั้น เห็นว่า ไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นไม่ได้อธิบายฟ้องให้จำเลยทั้งสองฟังตามคำให้การของจำเลยทั้งสองที่ศาลชั้นต้นจดไว้ก็มีรายละเอียดว่า จำเลยทั้งสองได้ทราบคำฟ้องของโจทก์โดยตลอดแล้ว ขอให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดและเป็นความจริงตามฟ้องโจทก์ทุกประการ ไม่ขอต่อสู้คดีและไม่ต้องการทนายความโดยมีจำเลยทั้งสองและโจทก์ลงลายมือชื่อไว้ ในรายงานกระบวนพิจารณามีรายละเอียดว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองแถลงไม่สืบพยานให้รอฟังคำพิพากษา โดยมีโจทก์และจำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อไว้โดยเหตุที่จำเลยทั้งสองมีสิทธิจะให้การต่อสู้อย่างไรหรือไม่ยอมให้การก็ได้ การที่จำเลยทั้งสองให้การว่าจำเลยทั้งสองได้ทราบฟ้องของโจทก์โดยตลอดแล้ว ซึ่งคำว่าทราบหมายความว่ารู้หรือเจ้าใจ แสดงว่าศาลได้อธิบายฟ้องให้จำเลยทั้งสองฟังเข้าใจแล้วจำเลยทั้งสองจึงได้ให้การเท้าความว่าจำเลยทั้งสองได้ทราบคำฟ้องของโจทก์โดยตลอดแล้ว โจทก์ได้ลงลายมือชื่อไว้ในคำให้การของจำเลยทั้งสองและรายงานกระบวนพิจารณา หากโจทก์เห็นว่าคำให้การของจำเลยทั้งสองที่ศาลจดไว้ไม่ชัดแจ้ง โจทก์ก็ชอบที่จะคัดค้านหรือแถลงขอสืบพยานต่อไป เพราะเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำผิดของจำเลยทั้งสอง เมื่อโจทก์ไม่นำสืบให้ได้ความว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากรในฐานใดแน่ก็ลงโทษจำเลยทั้งสองไม่ได้ และคดีไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่ทั้งหมดหรือบางส่วนและพิพากษาใหม่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share