คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3268/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องเป็นบิดาของจำเลยที่ 1 เคยใช้ให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ของกลางไปซื้อของและเคยจับได้ว่าจำเลยที่ 1 แอบเอารถจักรยานยนต์ของกลางไปขับในเวลากลางคืน ซึ่งไม่ปรากฏผู้ร้องได้ดำเนินการเพื่อป้องกันมิให้เกิดการกระทำดังกล่าวขึ้นอีกแต่อย่างใด แต่กลับปล่อยปละละเลยให้จำเลยที่ 1 สามารถนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้กระทำความผิดได้อีก ทั้งที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์พักอาศัยอยู่บ้านเดียวกับผู้ร้อง พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าผู้ร้องยินยอมอนุญาตให้จำเลยที่ 1 นำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้ได้ตลอดเวลาตามที่จำเลยที่ 1 ต้องการ โดยไม่คำนึงถึงว่าจำเลยที่ 1 จะนำไปใช้ในกิจการใด การที่จำเลยที่ 1 นำรถจักรยานยนต์ของกลางไปขับแข่งกับพวกบนทางเดินรถสาธารณะในเวลากลางคืน ถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 โดยปริยาย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลาง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 และริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองและสั่งริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งคืนรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า ผู้ร้องเป็นบิดาของจำเลยที่ 1 และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถจักรยานยนต์ของกลาง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 หรือไม่ ผู้ร้องนำสืบว่าผู้ร้องซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางเพื่อขับไปทำงานและส่งบุตรไปโรงเรียน จำเลยที่ 1 แอบทำเลียนแบบกุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางไว้แล้วนำรถจักรยานยนต์ไปขับแข่งกันจนถูกจับกุม โดยผู้ร้องมิได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 เอารถจักรยานยนต์ไป แต่จำเลยที่ 1 แถลงต่อศาลชั้นต้นตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2545 ต่อหน้าผู้ร้องว่า ผู้ร้องซื้อรถจักรยานยนต์ให้จำเลยที่ 1 ขับไปโรงเรียนสหพาณิชย์ ผู้ร้องลงลายมือชื่อรับรองรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวโดยมิได้โต้แย้งคัดค้านแต่อย่างใด นอกจากนี้ผู้ร้องเบิกความว่า ผู้ร้องเก็บกุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางไว้ที่หัวเตียงและผู้ร้องจำนำกุญแจรถดังกล่าวทั้งสองดอกติดตัวไปทำงานด้วย จำเลยที่ 1 รู้ที่เก็บกุญแจดังกล่าว นางทองพูน เรือนคำ ภรรยาผู้ร้องเบิกความตอบโจทก์ถามค้านว่า ปกติผู้ร้องจะพกกุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางติดตัวไปด้วยหนึ่งดอก ส่วนอีกดอกหนึ่งจะเก็บไว้ที่ลิ้นชักหัวเตียง จึงแตกต่างกับคำเบิกความของผู้ร้อง ส่วนจำเลยที่ 1 เบิกความว่า ผู้ร้องเคยใช้ให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ของกลางไปซื้อของและเคยจับได้ว่าจำเลยที่ 1 แอบเอารถจักรยานยนต์ของกลางไปขับในเวลากลางคืนซึ่งไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้ดำเนินการเพื่อป้องกันมิให้เกิดการกระทำดังกล่าวขึ้นอีกแต่อย่างใดแต่กลับปล่อยปละละเลยให้จำเลยที่ 1 สามารถนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้กระทำความผิดได้อีก ทั้งที่ผู้ร้องเป็นบิดาจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์และพักอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน พฤติการณ์ดังกล่าวส่อแสดงว่าผู้ร้องยินยอมอนุญาตให้จำเลยที่ 1 นำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้ได้ตลอดเวลาตามที่จำเลยที่ 1 ต้องการ โดยไม่คำนึงว่าจำเลยที่ 1 จะนำไปใช้ในกิจการใด ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 นำรถจักรยานยนต์ของกลางไปขับแข่งกับพวกประมาณ 100 วัน บนถนนสุขุมวิทอันเป็นทางเดินรถสาธารณะในเวลากลางคืน กรณีถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 โดยปริยาย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลาง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกคำร้องของผู้ร้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share