แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
คดีก่อน บ. ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินของโจทก์คนก่อนกับพวกฟ้อง ข. ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินคนก่อนของจำเลยทั้งสองให้ขนย้ายและรื้อถอนสิ่งกีดกั้นที่ ข. เป็นผู้กระทำขึ้นออกจากทางพิพาท กับจดทะเบียนทางพิพาทเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาให้บังคับตามคำขอของโจทก์ในคดีนั้น ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รื้อถอนสิ่งกีดขวางกับสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยทั้งสองกระทำขึ้นใหม่ภายหลังศาลฎีกามีคำพิพากษาแล้ว กับจดทะเบียนทางพิพาทเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ ดังนั้น เหตุที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งกีดขวางกับสิ่งปลูกสร้างในคดีนี้จึงเป็นคนละเหตุกับที่ บ. กับพวกฟ้อง ข. ในคดีก่อน โจทก์ไม่อาจมีคำขอให้บังคับจำเลยในคดีก่อนได้ ทั้งคดีก่อน บ. กับพวกก็มิได้ดำเนินการบังคับคดีให้มีการจดทะเบียนภาระจำยอมจนพ้นกำหนดเวลาบังคับคดีไปแล้วแม้โจทก์จะเป็นผู้สืบสิทธิในที่ดินจาก บ. โจทก์ก็มีสิทธินำคดีมาฟ้องได้ ฟ้องของโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คดีก่อนศาลฎีกาพิพากษาว่าทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 15764 โดยอายุความ อันเป็นทรัพยสิทธิที่ติดไปกับตัวทรัพย์ กรณีหาใช่เป็นภาระจำยอมโดยนิติกรรมซึ่งยังมิได้จดทะเบียนอันเป็นบุคคลสิทธิไม่ จำเลยทั้งสองหาอาจอ้างว่าจำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่เป็นภารยทรัพย์โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต จึงมีสิทธิดีกว่าโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง ได้ไม่เพราะสิทธิตามความหมายในบทบัญญัติดังกล่าวต้องเป็นสิทธิในประเภทเดียวกันแต่ภาระจำยอมเป็นสิทธิในประเภทรอนสิทธิ ส่วนกรรสิทธิ์เป็นสิทธิในประเภทได้สิทธิเป็นสิทธิคนละประเภทกัน ทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นผู้สืบสิทธิจากคู่ความในคดีก่อน คำว่าพิพากษาศาลฎีกาคดีก่อนจึงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสอง
คำว่าภาระจำยอมหมดประโยชน์ตามมาตรา 1400 วรรคหนึ่ง หมายความว่าไม่สามารถใช้ภารยทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่สามยทรัพย์ได้อีกต่อไป หากภารยทรัพย์ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้อยู่แม้ไม่มีการใช้ภารยทรัพย์นั้นก็หาใช่ภาระจำยอมหมดประโยชน์ตามความหมายของบทบัญญัติดังกล่าวไม่ ดังนั้น แม้ที่ดินของโจทก์อันเป็นสามยทรัพย์จะมีทางออกทางอื่นสู่ทางสาธารณะและโจทก์ใช้ทางดังกล่าวนี้เป็นหลัก แต่เมื่อทางพิพาทยังมีสภาพเป็นทางเดินคงเดิม ทางภาระจำยอมจึงยังไม่หมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์ ภาระจำยอมยังไม่สิ้นไปตามมาตรา 1400 วรรคหนึ่ง
การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดินของโจทก์และของจำเลยทั้งสองเป็นของสิบตรีเพิ่ม เขียนบรรจง สิบตรีเพิ่มได้แบ่งกันที่ดินดังกล่าวด้านทิศเหนือกว้าง 2 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินไว้เป็นทางเดินออกสู่ซอยวัดยางสุทธารามซึ่งเป็นทางสาธารณะ ก่อนถึงแก่ความตายสิบตรีเพิ่มได้ขายที่ดินในส่วนของโจทก์ให้นายบุญชัย จิวาลัย และเมื่อสิบตรีเพิ่มถึงแก่ความตาย นางเข็ม เที่ยงสกุล ผู้รับมรดกได้ปิดกั้นทางเดิน นายบุญชัยได้ฟ้องนางเข็มให้เปิดทางและจดทะเบียนภาระจำยอม ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้นางเข็มจดทะเบียนภาระจำยอม แต่นายบุญชัยมิได้ดำเนินการบังคับคดี และได้จดทะเบียนยกที่ดินของตนให้นางสุพีร์ นนทแก้ว ต่อมานางสุพีร์ได้ขายให้โจทก์ ส่วนที่ดินของนางเข็มก็ได้โอนกรรมสิทธิ์กันเรื่อยมาจนตกเป็นขอจำเลยทั้งสอง หลังจากโจทก์ซื้อที่ดินแล้วโจทก์ใช้ทางภาระจำยอมดังกล่าวเดินเข้าออกสู่ถนนสาธารณะสืบต่อจากเจ้าของที่ดินเดิมเป็นเวลาติดต่อกันเกินกว่า 30 ปีแล้ว จำเลยทั้งสองร่วมกันปิดกั้นทางเดินดังกล่าวโดยใช้ไม้และสังกะสีตีปิดกั้นและก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในทางภาระจำยอมทำให้โจทก์และบริวารไม่สามารถเดินเข้าออกสู่ถนนสาธารณะได้ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งกีดขวางและสิ่งปลูกสร้างออกจากทางพิพาทและจดทะเบียนให้ทางพิพาทกว้าง 2 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินทางด้านทิศเหนือของที่ดินโฉนดเลขที่ 5340 ตำบลบ้านช่างหล่อ (บางเสาธง) อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 5342 และ 15764 ตำบลบ้านช่างหล่อ (บางเสาธง) อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองและให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนสิ่งกีดขวาง โดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินของจำเลยทั้งสองไม่เคยตกเป็นภาระจำยอม นายบุญชัยกับนางสุพีร์ใช้ทางเดินอื่นออกสู่ถนนสาธารณะซึ่งสะดวกกว่าทางภาระจำยอมจึงไม่มีความจำเป็นและหมดประโยชน์แล้ว และมิได้ใช้ทางภาระจำยอมเกินกว่า 10 ปี ทำให้ทางภาระจำยอมสิ้นไป ทั้งการที่นายบุญชัยกับนางสุพีร์มิได้บังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาตั้งแต่ปี 2524 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี คดีจึงมีอายุความบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 และการที่โจทก์นำคดีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาสิ้นสุดไปแล้วมาฟ้องอีก ย่อมเป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่าภาระจำยอมในทางพิพาทตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2198/2524 สิ้นไป
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ทางพิพาทตกเป็นทางภาระจำยอม ให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 5340 ตำบลบ้านช่างหล่อ (บางเสาธง) อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง และให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งกีดขวางกับสิ่งปลูกสร้างออกจากทางภาระจำยอมดังกล่าว คำขออื่นนอกจากนี้ของโจทก์ให้ยก และยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 5340 ตำบลบ้านช่างหล่อ (บางเสาธง) อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร บริเวณด้านทิศเหนือกว้าง 2 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินของจำเลยทั้งสอง ตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 5342 และ 15764 ตำบลบ้านช่างหล่อ (บางเสาธง) อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินส่วนดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 5342 และ 15764 ตำบลบ้านช่างหล่อ (บางเสาธง) อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 5340 ตำบลบ้านช่างหล่อ (บางเสาธง) อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ที่ดินของโจทก์กับที่ดินของจำเลยทั้งสองมีอาณาเขตติดต่อกัน โดยที่ดินของโจทก์อยู่ทางทิศตะวันตกของที่ดินของจำเลยทั้งสอง ทางพิพาทอยู่ในเขตที่ดินของจำเลยทั้งสองด้านทิศเหนือกว้าง 2 เมตร ยาวตลอดแนวเขตที่ดิน เดิมนายบุญชัยเจ้าของที่ดินของโจทก์คนก่อนกับพวกได้ฟ้องนางเข็มเจ้าของที่ดินของจำเลยทั้งสองคนก่อนให้ขนย้ายและรื้อถอนสิ่งกีดกั้นออกจากทางพิพาทกับจดทะเบียนทางพิพาทเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 15764 ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาให้บังคับตามคำขอของโจทก์ในคดีนั้น ต่อมาปี 2538 โจทก์ก่อสร้างอาคารบนที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงดังกล่าว และจำเลยทั้งสองก็ได้ก่อสร้างอาคารบนที่ดินโฉนดเลขที่ 4314 ตำบลบ้านช่างหล่อ (บางเสาธง) อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ของจำเลยซึ่งอยู่ทางด้านทิศเหนือของที่ดินโฉนดเลขที่ 5340 และได้ปิดกั้นทางพิพาท ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อแรกมีว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนหรือไม่ เห็นว่า คดีก่อนนายบุญชัยกับพวกได้ฟ้องนางเข็มให้ขนย้ายและรื้อถอนสิ่งกีดกั้นออกจากทางพิพาท กับจดทะเบียนทางพิพาทเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 15764 ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาให้บังคับตามคำขอของโจทก์ในคดีนั้น ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รื้อถอนสิ่งกีดขวางกับสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยทั้งสองกระทำขึ้นใหม่ภายหลังจากมีคำพิพากษาคดีก่อนแล้ว กับจดทะเบียนทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 5342 และ 15764 ดังนั้น เหตุที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งกีดขวางกับสิ่งปลูกสร้างในคดีนี้จึงเป็นคนละเหตุกับที่นายบุญชัยกับพวกฟ้องนางเข็มในคดีก่อน โจทก์ไม่อาจมีคำขอให้บังคับจำเลยในคดีก่อนได้ ทั้งคดีก่อนนายบุญชัยกับพวกก็มิได้ดำเนินการบังคับคดีให้มีการจดทะเบียนภาระจำยอมจนพ้นกำหนดเวลาบังคับคดีไปแล้ว แม้โจทก์จะเป็นผู้สืบสิทธิในที่ดินโฉนดเลขที่ 15764 จากนายบุญชัย โจทก์ก็มีสิทธินำคดีมาฟ้องได้ ฟ้องของโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อต่อไปมีว่า คำพิพากษาศาลฎีกาคดีก่อนมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า คดีก่อนศาลฎีกาพิพากษาว่า ทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 15764 โดยอายุความอันเป็นทรัพย์สิทธิที่ติดไปกับตัวทรัพย์ กรณีหาใช่เป็นภาระจำยอมโดยนิติกรรมซึ่งยังมิได้จดทะเบียนอันเป็นบุคคลสิทธิดังจำเลยทั้งสองฎีกาไม่ จำเลยทั้งสองหาอาจอ้างว่าจำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 5340 โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริต จึงมีสิทธิดีกว่าโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง ได้ไม่ เพราะสิทธิตามความหมายในบทบัญญัติดังกล่าวต้องเป็นสิทธิในประเภทเดียวกัน แต่ภาระจำยอมเป็นสิทธิในประเภทรอนสิทธิ ส่วนกรรมสิทธิ์เป็นสิทธิในประเภทได้สิทธิ เป็นสิทธิคนละประเภทกันทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นผู้สืบสิทธิจากคู่ความในคดีก่อน คำพิพากษาศาลฎีกาคดีก่อนจึงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสอง
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อต่อไปมีว่า ทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอมโดยอายุความหรือไม่ สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 15764 คำพิพากษาศาลฎีกาคดีก่อนมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสอง จึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีดังกล่าวว่า ทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 15764 โดยอายุความส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 5342 นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ตามทางนำสืบของโจทก์ซึ่งจำเลยทั้งสองมิได้นำสืบหักล้างว่า เดิมเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 15764 นายบุญชัยเจ้าของที่ดินคนก่อนได้แบ่งแยกเพื่อใช้เป็นทางออกสู่ซอยวัดยางสุทธารามตามข้อตกลงที่ทำกับสิบตรีเพิ่ม เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 15764 จึงยอมฟังได้ว่าทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 5342 ด้วยเช่นกัน ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ทางพิพาทเกิดจากข้อตกลงระหว่างสิบตรีเพิ่มกับนายบุญชัย จึงไม่อาจตกเป็นภาระจำยอมโดยอายุความได้นั้น เห็นว่า แม้ทางพิพาทจะเกิดจากข้อตกลงระหว่างสิบตรีเพิ่มกับนายบุญชัยที่ตกลงให้กันที่ดินของแต่ละฝ่ายไว้เพื่อใช้เป็นทางออกสู่ซอยวัดยางสุทธาราม แต่เมื่อนายบุญชัยและผู้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 5342 และ 15764 จากนายบุญชัยตลอดมาจนถึงโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินออกสู่ซอยวัดยางสุทธารามโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาจะให้สิทธิภาระจำยอมติดต่อกันมาเกินกว่า 10 ปี ก็ย่อมได้ภาระจำยอมโดยอายุความได้เช่นกัน คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยทั้งสองอ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับข้อเท็จจริงคดีนี้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อต่อไปมีว่า ทางภาระจำยอมสิ้นผลเพราะโจทก์ไม่ได้ใช้ทางพิพาทติดต่อกันเกินกว่า 10 ปีหรือไม่ โจทก์มีนางสุพีร์ นนทแก้ว ผู้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 5342 และ 15764 ให้แก่โจทก์เป็นพยานเบิกความว่า พยานปลูกบ้านพักอาศัยอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 15764 และใช้ทางพิพาทเป็นทางออกสู่ซอยวัดยางสุทธารามตลอดมา หลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาในคดีก่อนแล้วพยานก็ยังคงใช้ทางพิพาทเป็นทางออกสู่ซอยวัดยางสุทธารามเช่นเดิมจนกระทั่งขายที่ดินโฉนดเลขที่ 5342 และ 15764 ให้แก่โจทก์ และรื้อบ้านออกไปเมื่อปี 2538 ซึ่งโจทก์เบิกความถึงเหตุการณ์ต่อมาว่า หลังจากซื้อที่ดินจากนางสุพีร์แล้วโจทก์ใช้ทางพิพาทเป็นทางออกไปซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคตลอดมา นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายสุริยนต์ พุทธาวัฒน์ จ่าเอกวิทย์ สกุลวัฒนะ นางเกศนี แจ่มใส และนางถาวร แซ่เหลียง เบิกความสนับสนุนถึงการใช้ทางพิพาทดังกล่าว เห็นว่า นางเข็มเจ้าของที่ดินของจำเลยคนก่อนเคยปิดกั้นทางพิพาท นายบุญชัยกับนางสุพีร์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลขอให้รื้อถอนสิ่งปิดกั้นอ้างว่าเป็นทางภาระจำยอม แสดงว่านายบุญชัยกับนางสุพีร์ประสงค์จะใช้ทางพิพาทเป็นทางออกสู่ซอยวัดยางสุทธาราม จึงน่าเชื่อว่าหลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาในคดีดังกล่าวแล้ว นางสุพีร์ยังคงใช้ทางพิพาทเป็นทางออกตลอดมา พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อ จำเลยทั้งสองมีตัวจำเลยที่ 1 กับนายสมชัย ชีวินศิริรัตน์ เบิกความทำนองเดียวกันว่า หลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาในคดีดังกล่าวแล้วมีเพียงครอบครัวนางเข็มเท่านั้นที่ใช้ทางพิพาท เห็นว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้นำนางเข็มหรือบุคคลในครอบครัวนางเข็มซึ่งจำเลยทั้งสองอ้างว่าเป็นผู้ใช้ทางพิพาทมาเบิกความสนับสนุน กลับปรากฏว่านางเกศนีซึ่งเป็นบุตรนางเข็มได้มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ยืนยันว่า นางสุพีร์และโจทก์ใช้ทางพิพาทตลอดมา พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองยังเลื่อนลอย ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นปิดกั้นทางพิพาทแสดงว่าไม่มีการใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินนั้น เห็นว่า ทางพิพาทเป็นเพียงทางคนเดินมิใช่สำหรับรถยนต์แล่น ต้นไม้ดังกล่าวมิได้ปิดกั้นทางพิพาทจนไม่สามารถเดินผ่านไปได้ การที่มีต้นไม้ดังกล่าวจึงมิได้แสดงว่าไม่มีการใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินแต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงฟังว่าทางภาระจำยอมมิได้สิ้นผล เพราะโจทก์ไม่ได้ใช้ติดต่อกันเกินกว่า 10 ปี
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อต่อไปมีว่า ภาระจำยอมสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1400 วรรคหนึ่ง หรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาปัญหาข้อนี้ว่า ที่ดินของโจทก์มีทางออกสู่ถนนพรานนกซึ่งเป็นทางสาธารณะแล้ว ความจำเป็นที่จะใช้ทางพิพาทเพื่อประโยชน์แก่สามยทรัพย์จึงหมดไป เห็นว่า คำว่าภาระจำยอมหมดประโยชน์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1400 วรรคหนึ่ง หมายความว่าไม่สามารถใช้ภารยทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่สามยทรัพย์ได้อีกต่อไป หากภารยทรัพย์ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้อยู่แม้ไม่มีการใช้ภารยทรัพย์นั้นก็หาใช่ภาระจำยอมหมดประโยชน์ตามความหมายของบทกฎหมายดังกล่าวไม่ ดังนั้น แม้ที่ดินของโจทก์อันเป็นสามยทรัพย์จะมีทางออกทางอื่นสู่ทางสาธารณะและโจทก์ใช้ทางดังกล่าวนี้เป็นหลัก แต่เมื่อทางพิพาทยังมีสภาพเป็นทางเดินคงเดิม ทางภาระจำยอมจึงยังไม่หมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์ -ภาระจำยอมยังไม่สิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1400 วรรคหนึ่ง
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อต่อไปมีว่า การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือไม่ ปัญหาข้อนี้แม้จำเลยทั้งสองจะมิได้ยกขึ้นอ้างในศาลชั้นต้น แต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเพราะเป็นเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ จำเลยทั้งสองย่อมยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ได้ ซึ่งศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก เห็นว่า แม้โจทก์จะปลูกสร้างอาคารในที่ดินโฉนดเลขที่ 5342 ซึ่งเป็นที่ดินส่วนที่นายบุญชัยกันไว้เป็นทางออกสู่ซอยวัดยางสุทธารามตามที่ตกลงกับสิบตรีเพิ่ม แต่ที่ดินแปลงนี้อยู่ด้านในไม่เป็นประโยชน์แก่ที่ดินของจำเลยทั้งสองที่จะออกสู่ซอยวัดยางสุทธาราม ที่สิบตรีเพิ่มทำข้อตกลงกับนายบุญชัยให้นายบุญชัยกันที่ดินของนายบุญชัยดังกล่าวก็เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของสิบตรีเพิ่มแปลงอื่นซึ่งอยู่ด้านในเท่านั้น การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจึงมิใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองขอถือเอาคำฟ้องแย้งเป็นการแสดงเจตนาบอกเลิกข้อตกลงเรื่องกันที่ดินเป็นทางออก และฎีกาขอให้ทางพิพาทพ้นจากภาระจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1400 วรรคสอง นั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยทั้งสองมีสิทธิบอกเลิกข้อตกลงและมีสิทธิขอให้ที่พิพาทพ้นจากภาระจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1400 วรรคสอง ปัญหาดังกล่าวจึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสองทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน