คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 208/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยมีข้อความว่า จำเลยมอบอำนาจให้ผู้เริ่มก่อการบริษัทโจทก์ทำการขับไล่หรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เช่าอยู่ในบริเวณที่ดินที่โจทก์จะปลูกสร้าง โดยผู้เริ่มก่อการบริษัทโจทก์จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายแต่ผู้เดียว จำเลยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้นนั้นหมายความว่าโจทก์มีหน้าที่ดำเนินการขับไล่หรือทำอย่างไรให้ผู้เช่าที่ดินที่จะใช้ก่อสร้างรื้อถอนขนย้ายอาคารออกไปเพื่อสร้างใหม่ โดยโจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายแต่ผู้เดียวหากไม่จัดการดังกล่าวจึงจะเรียกได้ว่าโจทก์ผิดสัญญา ถึงแม้โจทก์จะเคยไปติดต่อขอให้เทศบาลดำเนินการขับไล่ผู้เช่าที่ดิน เทศบาลเรียกร้องเงินจำนวนหนึ่ง แต่โจทก์เห็นว่าเป็นเงินจำนวนมากเกินไปจึงดำเนินการฟ้องขับไล่ผู้เช่าที่ดินเอง ก็ถือว่าโจทก์ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว จำเลยจะยกเหตุที่โจทก์ไม่ชำระเงินแก่เทศบาลมาเป็นเหตุบอกเลิกสัญญาไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับผู้เริ่มก่อการบริษัทโจทก์ได้ทำสัญญากันไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2506 คือ จำเลยตกลงมอบกรรมสิทธิ์ที่ดินของจำเลยให้บริษัทโจทก์ทำการก่อสร้างอาคารตึกแถว ตลาด โรงมหรสพโรงงานอุตสาหกรรม ในที่ดินเมื่อบริษัทโจทก์จดทะเบียนเสร็จ บริษัทโจทก์กับจำเลยได้รับรองสัญญาดังกล่าวแล้ว ครั้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2510 จำเลยผิดสัญญาโดยเข้าทำการก่อสร้างอาคารตึกแถวในที่ดินดังกล่าวโจทก์ทำหนังสือแจ้งว่าจำเลยผิดสัญญา จำเลยกลับมีหนังสือตอบบริษัทโจทก์ว่าบริษัทโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ทั้งได้บอกกล่าวเลิกสัญญากับบริษัทโจทก์แล้ว แต่สัญญาดังกล่าวยังมีผลบังคับอยู่ จึงขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งก่อสร้างของจำเลยออกไปจากที่ดิน

จำเลยให้การว่า ผู้เริ่มก่อการตั้งบริษัทก็ดี บริษัทโจทก์ก็ดีได้กระทำผิดสัญญาหลายครั้ง จำเลยได้บอกกล่าวเลิกสัญญาไปช้านานแล้ว สัญญาจึงไม่ผูกพันระหว่างกันก่อนทำสัญญานายฮั้งเซ็งผู้เริ่มก่อการบริษัทโจทก์ทราบแล้วว่ามีผู้เช่าปลูกอาคารอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนหรือฟ้องร้องขับไล่เสียก่อนตามสัญญาข้อ 3 จึงระบุให้เป็นหน้าที่ของผู้เริ่มก่อการบริษัทโจทก์จะต้องออกค่าใช้จ่ายฝ่ายเดียว โดยจำเลยไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อทำสัญญาพิพาทแล้ว จำเลยโดยความเห็นชอบของนายฮั้งเซ็งได้ร่วมกันติดต่อกับเทศบาลนครกรุงเทพให้ดำเนินการตามกฎหมาย ให้ผู้เช่าที่ดินรื้อถอนอาคารออกไป เพื่อทำการก่อสร้างตามสัญญาเทศบาลนครกรุงเทพอนุมัติและเรียกร้องให้จำเลยนำเงิน 250,000 บาทไปมอบให้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการนั้น จำเลยแจ้งให้นายฮั้งเซ็งนำเงินไปชำระแก่เทศบาลนครกรุงเทพดังที่ตกลงไว้ แต่นายฮั้งเซ็งบิดพลิ้ว นับว่าไม่ปฏิบัติตามสัญญาพิพาท จำเลยจึงทำหนังสือบอกกล่าวให้จัดการไปชำระเงินให้เสร็จภายใน 7 วัน หากไม่ปฏิบัติก็ให้ถือว่าสัญญาพิพาทเลิกต่อกัน โจทก์ทราบแล้วมิได้ปฏิบัติภายในกำหนดสัญญาจึงหมดความผูกพันระหว่างกัน

ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์มิได้ปฏิบัติตามสัญญาพิพาท คือ มิได้นำเงินไปชำระให้เทศบาลนครกรุงเทพภายในกำหนด จำเลยใช้สิทธิเลิกสัญญาพิพาทได้โดยชอบ ทำให้สัญญาพิพาทระงับลง พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่บริษัทโจทก์มิได้ชำระเงินแก่เทศบาลนครกรุงเทพ ไม่อาจถือได้ว่าบริษัทโจทก์ไม่ชำระหนี้อันจะเป็นเหตุให้จำเลยบอกเลิกสัญญาได้ ทั้งสัญญาพิพาทก็มิได้ระบุให้เป็นเหตุบอกเลิกสัญญาได้ การบอกเลิกสัญญาของจำเลยไม่ทำให้สัญญาพิพาทระงับลง เมื่อสัญญาพิพาทยังมีผลบังคับอยู่ จำเลยก็ไม่มีสิทธิก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างลงในที่ดิน พิพากษากลับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญาข้อ 3 นี้ โจทก์ย่อมมีหน้าที่ดำเนินการขับไล่หรือทำอย่างไรให้บรรดาผู้เช่าที่ดินที่จะใช้ก่อสร้างตามสัญญานี้รื้อถอนขนย้ายอาคารบ้านเรือนเก่าออกไปเพื่อสร้างใหม่ โดยโจทก์เป็นผู้เสียหายค่าใช้จ่ายทั้งหมดแต่ผู้เดียว หากโจทก์ไม่จัดการดังกล่าว จึงจะเรียกได้ว่าโจทก์ผิดสัญญา แต่โจทก์ก็ได้เริ่มปฏิบัติตามสัญญาข้อนี้ในทันทีที่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้วโดยนำเรื่องเงินที่เทศบาลเรียกร้องเข้าเสนอในที่ประชุมกรรมการของบริษัท ที่ประชุมเห็นว่าเป็นเงินจำนวนมากเกินไป และจะดำเนินการขับไล่โดยฟ้องผู้เช่าเอง ซึ่งก็หมายถึงจะปฏิบัติตามสัญญาข้อ 3 โดยการฟ้องขับไล่ผู้เช่าแล้ว สัญญาข้อนี้มิได้บังคับว่าโจทก์จะต้องกระทำตามโดยให้เทศบาลจัดการขับไล่เท่านั้น การที่โจทก์มิได้ชำระเงินแก่เทศบาลนครกรุงเทพนั้น ถือไม่ได้ว่าโจทก์ไม่ชำระหนี้อันจะเป็นเหตุให้จำเลยบอกเลิกสัญญาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 387 ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share