คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2676/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 เกี่ยวกับเรื่องการขอขยายเวลาหาประกันมาวางตามเงื่อนไขที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 อนุญาตให้มีการทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 นั้น เป็นเรื่องต่อเนื่องกับการขอทุเลาการบังคับ ซึ่งเป็นอำนาจโดยเฉพาะของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 231 เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาหาประกันมาวางศาลต่อไปอีก จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ดังกล่าว รวมทั้งฎีกาที่คัดค้านว่าศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งยกคำร้องขอทุเลาการบังคับต้องส่งไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่ง ถือว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นที่สุดแล้วตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงิน 2,750,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,000,000 บาท นับแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2555 และของต้นเงิน 750,000 บาท นับแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2555 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้โจทก์ชำระเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 19 เมษายน 2556 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมของทั้งสองฝ่ายให้เป็นพับ โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ และจำเลยยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 สั่งให้จำเลยหาประกันสำหรับต้นเงิน 1,750,000 บาท และดอกเบี้ยตามคำพิพากษานับแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2555ถึงวันทราบคำสั่งนี้และต่อไปอีก 1 ปี มาวางจนเป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 และสั่งให้จำเลยหาประกันมาวางภายใน 30 วัน
จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาหาประกัน 3 ครั้ง ครั้งที่ 3 ขอขยายเวลาถึงวันที่ 16 เมษายน 2558 แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ขยายเวลาถึงวันที่ 26 มีนาคม2558 และนัดพิจารณาหลักประกันในวันดังกล่าว จำเลยจึงยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาหาประกันครั้งที่ 4 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า นัดที่แล้วศาลอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาหาประกันออกไปอีก 10 วัน จำเลยไม่สามารถหาประกันมาวางศาลได้ โดยไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงว่าได้ขวนขวายหาประกันมาวางอย่างเต็มความสามารถหรือได้หาประกันมาบางส่วนจึงเชื่อว่าหากอนุญาตให้ขยายระยะเวลาออกไปก็ไม่น่าจะหาประกันมาวางตามคำสั่งศาลได้ให้ยกคำร้อง และเมื่อไม่สามารถหาประกันมาวางได้ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด มีผลให้ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ได้มีคำสั่งว่า หากไม่สามารถหาประกันมาวางศาลได้ ก็ให้ยกคำร้องขอทุเลาการบังคับ
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ โดยให้จำเลยหาประกันสำหรับต้นเงิน 1,750,000 บาท และดอกเบี้ยตามคำพิพากษานับแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2555 ถึงวันทราบคำสั่งนี้และต่อไปอีก 1 ปี มาวางจนเป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง ข้อเท็จจริงได้ความว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาหาประกันมาวาง 3 ครั้ง เป็นเวลา 2 เดือนเศษครั้งที่ 4 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาหาประกันมาวางอีก จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน เห็นว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 เกี่ยวกับเรื่องการขอขยายระยะเวลาหาประกันมาวางตามเงื่อนไขที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 อนุญาตให้มีการทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 นั้น เป็นเรื่องต่อเนื่องกับการขอทุเลาการบังคับซึ่งเป็นอำนาจโดยเฉพาะของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 231 เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาหาประกันมาวางต่อไปอีกจำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ดังกล่าว รวมทั้งฎีกาที่คัดค้านว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งยกคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลย ศาลชั้นต้นต้องส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่ง และถือว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 นั้นเป็นที่สุดแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยมานั้นเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share