คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1095/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยยิงผู้ตาย แต่โจทก์มีพยานเห็นเหตุการณ์เกี่ยวกับจำเลยในวันเกิดเหตุหลายคนโดยก่อนเกิดเหตุมีพยานเห็นจำเลยกับพวกนั่งรถไปกับผู้ตาย หลังเกิดเหตุมีพยานเห็นจำเลยกับพวกขับรถออกมาจากที่เกิดเหตุ นอกจากนี้เมื่อพยานโจทก์พบผู้ตายถูกยิงนอนอยู่ ผู้ตายบอกว่าถูกนายสมบัติกับพวกหลอกมาใช้อาวุธปืนยิงชิงเอารถไป ขอให้ไปบอกมารดาผู้ตายด้วยและได้บอกด้วยว่าตนจะต้องตายแน่ ขณะนำผู้ตายขึ้นรถเพื่อไปส่งโรงพยาบาลผู้ตายร้องว่าโอ๊ย ไม่ไหวแล้วซึ่งเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าผู้ตายคงรู้ตัวว่าต้องตายแน่ พยานโจทก์ได้บันทึกคำบอกเล่าของผู้ตายไว้ ดังนี้คำบอกเล่าของผู้ตายว่านายสมบัติเป็นคนร้ายรับฟังได้ และเมื่อฟังประกอบกับพยานโจทก์ที่เห็นเหตุการณ์เกี่ยวกับจำเลยแล้ว ทำให้น่าเชื่อว่านายสมบัติที่ผู้ตายระบุชื่อนั้น คือจำเลย ทั้งในชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ และนำชี้ที่เกิดเหตุ คำให้การมีรายละเอียดต่าง ๆทั้งมูลเหตุที่จะกระทำความผิดเหตุการณ์ก่อนวันเกิดเหตุ ในวันเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ ซึ่งหากจำเลยไม่ให้การด้วยความสมัครใจแล้วคงจะไม่มีรายละเอียดดังกล่าว พยานหลักฐานของโจทก์จึงฟังได้โดยแจ้งชัดปราศจากสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้าย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 339, 371, 340 ตรี, 288, 289, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14,15 กับให้จำเลยคืนหรือชดใช้ราคาทรัพย์ 171,000 บาท แก่ผู้เสียหายและนับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2022/2530 ของศาลจังหวัดระยอง โทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 872/2531 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 226/2531 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยที่ 1ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2022/2530 ของศาลจังหวัดระยอง และจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 872/2531 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 339 (ที่ถูกเป็น 339 วรรคท้าย) เป็นการกระทำผิดกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักตามาตรา 90 ลงโทษฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ลงโทษประหารชีวิตจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเห็นสมควรลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสาม ตามมาตรา 78 คงจำคุกจำเลยตลอดชีวิต ให้นับโทษจำเลยนี้ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2022/2530 ของศาลจังหวัดระยอง และนับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 872/2531 ของศาลชั้นต้น กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 171,000 บาท แก่เจ้าของ คำขออื่นของโจทก์ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2529 เวลาประมาณ9 นาฬิกาขณะที่พลตำรวจสมัคร เนยยะ ทับใหญ่ จอดรถจักรยานยนต์อยู่บนถนนสายโป่งเขาไม้แก้ว เห็นรถยนต์โดยสารกระบะสีเขียวหรือสีน้ำเงินขับผ่านไปด้วยความเร็วจำได้ว่าเป็นรถยนต์โดยสารที่รับจ้างอยู่อำเภอสัตหีบ มีจำเลยนั่งมากับรถยนต์คันดังกล่าวด้วย หลังจากรถยนต์คันดังกล่าวแล่นผ่านไปนานประมาณ 2-3 นาทีได้ยินเสียงปืนดังขึ้นทางที่รถยนต์คันดังกล่าวแล่นไป พลตำรวจสมัคร เนยยะ ได้ขับรถจักรยานยนต์ตามไปยังบริเวณที่เสียงปืนดังซึ่งอยู่ห่างจากที่ตนจอดรถจักรยานยนต์ประมาณ 20 ถึง 40 เมตร เห็นนายอนุชา กล้าหาญศึกนอนอยู่บริเวณบ่อดินลูกรังและตามร่างกายเปื้อนโลหิต ซึ่งขณะนั้นมีชาวบ้านยืนดูประมาณ 2-3 คน พลตำรวจสมัคร เนยยะ ได้ให้ชาวบ้านไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 2กิโลเมตร นายผ่อน ปิ่นเกตุ เป็นผู้ไปแจ้งต่อจ่าสิบตำรวจบุญเลิศแสวง จ่าสิบตำรวจบุญเลิศกับพวกได้ไปยังที่เกิดเหตุขณะนั้นนายอนุชายังพูดได้และบอกว่าถูกนายสมบัติซึ่งหมายถึงจำเลยกับพวกนี้ หลอกมายิงแล้วชิงเอารถยนต์ไป นายอนุชาบอกขณะที่รู้ว่าตนเองจะต้องตายแน่ จ่าสิบตำรวจบุญเลิศได้บันทึกไว้ ตามเอกสารหมาย จ.1หลังจากนั้นได้นำนายอนุชาส่งโรงพยาบาลบางละมุง แต่นายอนุชาถึงแก่ความตายก่อนถึงโรงพยาบาลดังกล่าว ในวันเดียวกันร้อยตำรวจเอกเกรียงไกร ธำรงสัตย์ ได้รับแจ้งว่ามีเหตุเกิดขึ้นจึงได้ไปยังที่เกิดเหตุ จ่าสิบตำรวจบุญเลิศได้มอบบันทึกเอกสารหมาย จ.1 ให้ร้อยตำรวจเอกเกรียงไกรได้ตรวจที่เกิดเหตุบันทึกไว้ตามเอกสารหมายจ.10 ทำแผนที่เกิดเหตุไว้ตามเอกสารหมาย จ.6 สอบปากคำจ่าสิบตำรวจบุญเลิศ และนายผ่อน บันทึกไว้ตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3ตามลำดับ แล้วทำการสอบสวนออกหมายจับจำเลยไว้ ต่อมาจำเลยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอปลวกแดงจับกุมในคดีอื่นจึงอายัดตัวมาดำเนินคดีนี้ โดยแจ้งข้อหาว่าร่วมกันชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนและร่วมกันฆ่าคนตายโดยเจตนา ตามบันทึกการแจ้งข้อหาเอกสารหมาย จ.11 จำเลยให้การรับสารภาพตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.12 และได้นำจำเลยไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและถ่ายภาพไว้ตามบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.13 และภาพถ่ายหมาย จ.14 กับได้ถ่ายภาพที่เกิดเหตุไว้ตามภาพถ่ายหมาย จ.15
จำเลยนำสืบว่า วันเกิดเหตุระหว่างเวลา 9 นาฬิกา ถึง 11 นาฬิกาจำเลยอยู่ที่คิวรถโดยสารรับจ้างสายสัตหีบ – นาเกลือ คนขับรถโดยสารรับจ้างที่ชื่อสมบัติมีอีกคนหนึ่ง ที่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเพราะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายและขู่ว่าจะนำไปนั่งยางเผาให้ตาย
คดีมีปัญหาในชั้นนี้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำผิดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีผู้รู้เห็นเหตุการณ์เกี่ยวกับจำเลยในวันเกิดเหตุมาเป็นพยานหลายปาก เริ่มตั้งแต่นายสุรพล เหมือนท่าไม้ เบิกความยืนยันว่า ในวันเกิดเหตุประมาณ 9 นาฬิกา พยานเห็นจำเลยและนายป๊อกนั่งรถยนต์โดยสารรับจ้างไปกับนายอนุชาผู้ตายซึ่งเป็นผู้ขับ นายชู คำจันทร์ เบิกความว่าวันเกิดเหตุประมาณ 9.30 นาฬิกา ขณะที่พยานอยู่ที่ถนนสายโป่ง -เขาไม้แก้ว ได้ยินเสียงปืน 3 นัด ดังมาจากบริเวณบ่อดินลูกรังห่างจากที่พยานอยู่ประมาณ 500 เมตร ต่อมาราว 3 นาที เห็นจำเลยขับรถยนต์กระบะสีฟ้าเลี้ยวออกมาจากบ่อดินลูกรัง ขับสวนกับพยานห่างจากพยานประมาณ 2 วา มีคนนั่งมาด้วยคนหนึ่ง พลตำรวจสมัคร เนยยะทับใหญ่ เบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 9 นาฬิกา ขณะที่พยานจอดรถจักรยานยนต์เช็คเครื่องอยู่ที่ถนนสายโป่ง – เขาไม้แก้วพยานเห็นจำเลยซึ่งรู้จักมาก่อนกับคนอื่นอีกสองคนนั่งอยู่ที่ด้านหน้ารถยนต์โดยสารกระบะสีเขียวหรือน้ำเงินแล่นผ่านไปห่างจากพยาน2-3 เมตร ต่อมา 2-3 นาที ได้ยินเสียงปืน 3 นัด ห่างประมาณ 30-40เมตร พยานขับรถจักรยานยนต์ไปบริเวณที่มีเสียงปืนพบนายอนุชาผู้ตายถูกยิงนอนอยู่บริเวณบ่อดินลูกรัง ซึ่งพยานโจทก์ทั้งสามปากนี้ต่างไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะแกล้งเบิกความให้ร้ายจำเลย ขณะที่พยานพบเห็นจำเลยก็เป็นเวลาระหว่าง9 นาฬิกา ถึง 9.30 นาฬิกา ย่อมมีแสงสว่างมากพอที่จะเห็นสิ่งต่าง ๆได้ชัดเจน โดยเฉพาะนายชูและพลตำรวจสมัคร เนยยะ ก็เห็นจำเลยในระยะใกล้และสำหรับพลตำรวจสมัคร เนยยะ ก็รู้จักจำเลยมาก่อนเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจให้นายชูดูรูปถ่ายจำเลยหลังเกิดเหตุ 3 วันนายชูก็ยืนยันว่าเป็นรูปของคนที่ขับรถเลี้ยวออกมาจากบ่อดินลูกรังที่เกิดเหตุ ดังบันทึกการดูภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.4 แสดงให้เห็นว่านายชูจำจำเลยได้แน่ ดังนี้ ที่นายชูยืนยันว่าจำคนขับรถยนต์โดยสารกระบะได้ว่าคือจำเลย และที่พลตำรวจสมัคร เนยยะ เบิกความว่าเห็นจำเลยนั่งอยู่ทางด้านหน้าของรถยนต์โดยสารกระบะกับคนอีกสองคนจึงสมเหตุผล สำหรับนายสุรพลแม้จะเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าเห็นจำเลยนั่งรถมากับนายอนุชาผู้ตายขับรถยนต์ผ่านพยานในระยะประมาณ 50 เมตร ก็ตาม แต่พยานก็รู้จักกับจำเลยและนายอนุชาผู้ตายดังนี้พยานย่อมจะจำได้โดยไม่ผิดพลาด คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามมีน้ำหนักน่ารับฟัง นอกจากนั้นโจทก์ยังมีนายผ่อน ปิ่นเกตุและจ่าสิบตำรวจบุญเลิศ แสวง เบิกความสอดคล้องกันว่า เมื่อพยานทั้งสองไปถึงที่เกิดเหตุ นายอนุชาผู้ตายได้บอกว่าถูกนายสมบัติกับพวกหลอกมาใช้อาวุธปืนยิงแล้วชิงเอารถยนต์ไปขอให้จ่าสิบตำรวจบุญเลิศไปบอกมารดานายอนุชาผู้ตายด้วย ซึ่งพยานโจทก์ทั้งสองนี้ก็เช่นเดียวกับพยานโจทก์คนอื่นคือไม่มีเหตุโกรธเคืองอะไรกับจำเลยที่จะแกล้งเบิกความใส่ร้ายจำเลย น่าเชื่อว่าพยานจะเบิกความไปตามความจริงและโจทก์ยังมีเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเป็นบันทึกคำบอกเล่าของนายอนุชาผู้ตายที่จ่าสิบตำรวจบุญเลิศเป็นผู้บันทึก และนายผ่อนลงชื่อเป็นพยานสนับสนุน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายอนุชาผู้ตายได้บอกกับจ่าสิบตำรวจบุญเลิศและนายผ่อนว่านายสมบัติเป็นคนร้ายและได้ความจากจ่าสิบตำรวจบุญเลิศต่อไปว่า ขณะที่นายอนุชาผู้ตายบอกว่านายสมบัติเป็นคนร้ายนั้นได้บอกด้วยว่าตนเองจะต้องตายแน่ซึ่งก็สอดคล้องกับที่นายอนุชาผู้ตายขอให้จ่าสิบตำรวจบุญเลิศแจ้งให้มารดาของนายอนุชาผู้ตายทราบ อันเป็นสิ่งบ่งบอกว่านายอนุชาผู้ตายคงจะรู้ตัวเองว่าจะต้องถึงแก่ความตายแน่จึงได้สั่งเช่นนั้น และในเรื่องนี้ยังมีคำเบิกความของพลตำรวจสมัคร เนยยะสนับสนุนว่าขณะนำนายอนุชาผู้ตายขึ้นรถเพื่อนำส่งโรงพยาบาลนั้นนายอนุชาผู้ตายร้องว่าโอ๊ยไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว ซึ่งก็เป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงว่านายอนุชาผู้ตายคงรู้ตัวว่าต้องตายแน่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ขณะที่นายอนุชาผู้ตายบอกจ่าสิบตำรวจบุญเลิศเรื่องนายสมบัติเป็นคนร้ายนั้น นายอนุชาผู้ตายรู้ตัวว่าตนเองต้องตายแน่ คำบอกเล่าของนายอนุชาผู้ตายจึงรับฟังได้ และตามข้อเท็จจริงที่ได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้นที่ว่าในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 9 นาฬิกา จำเลยได้นั่งรถยนต์โดยสารกระบะมากับนายอนุชาผู้ตายและนายป๊อก ต่อมามีพลตำรวจสมัคร เนยยะ เห็นจำเลยนั่งมาในรถยนต์โดยสารกระบะกับคนอื่นอีก 2 คน ต่อมา 2-3 นาทีได้ยินเสียงปืนจากทางบ่อดินลูกรังที่เกิดเหตุ หลังจากมีเสียงปืนแล้วนายชูเห็นจำเลยขับรถยนต์กระบะสีฟ้าออกจากบ่อดินลูกรังที่เกิดเหตุเหล่านี้ ทำให้น่าเชื่อว่า นายสมบัติที่นายอนุชาผู้ตายระบุชื่อตอนบอกชื่อคนร้ายกับจ่าสิบตำรวจบุญเลิศนั้น ก็คือจำเลยนี้ ในชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การรับสารภาพดังบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.12 และได้นำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพดังบันทึกเอกสารหมาย จ.13 และภาพถ่ายหมาย จ.14 โดยคำให้การชั้นสอบสวนก็มีรายละเอียดต่าง ๆ มากมาย ทั้งมูลเหตุที่จะกระทำผิดเหตุการณ์ก่อนวันเกิดเหตุ เหตุการณ์ในวันเกิดเหตุและหลังวันเกิดเหตุซึ่งหากจำเลยไม่ให้การด้วยความสมัครใจแล้วคงไม่มีรายละเอียดเช่นนี้ที่จำเลยอ้างว่าได้ให้การในชั้นสอบสวนไปเช่นนั้นเพราะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายและข่มขู่นั้นไม่น่ารับฟัง ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้โดยแจ้งชัดปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยเป็นคนร้ายร่วมกับพวกอีก 1 คน ชิงทรัพย์รถยนต์โดยสารกระบะหมายเลขทะเบียน ผ – 2106 ชลบุรี ราคา 171,000 บาท ซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายอนุชาผู้ตาย โดยได้ใช้อาวุธปืนยิงนายอนุชาถึงแก่ความตายตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน.

Share