คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3267/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่ดินของจำเลยด้านทิศตะวันตกติดที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยได้ขอออกโฉนดที่ดินโดยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าที่ดินของจำเลยด้านทิศตะวันตกติดทางสาธารณประโยชน์ เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยและระบุว่าทางด้านทิศตะวันตกติดทางสาธารณประโยชน์ทำให้โจทก์เสียหายไม่สามารถขอออกโฉนดที่ดินได้ แต่โจทก์มิได้บรรยายให้ปรากฏว่าเพราะเหตุใดการกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถขอออกโฉนดที่ดินได้ อีกทั้งการกระทำของจำเลยดังกล่าวก็เป็นเรื่องการขอออกโฉนดที่ดินในส่วนที่ดินของจำเลยโดยเฉพาะ แม้การแจ้งข้อความของจำเลยต่อเจ้าพนักงานที่ดินจะเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับอาณาเขตที่ดินแต่ก็ไม่มีผลโดยตรงต่อเนื้อที่ดินของโจทก์ กล่าวคือ มิได้ขอออกโฉนดที่ดินรุกล้ำทับที่ดินของโจทก์หรือกระทำการอันมีลักษณะเป็นการรบกวนการครอบครองหรือแย่งสิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ สิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์มีอยู่อย่างไรก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และเป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องไปพิสูจน์สิทธิครอบครองต่อเจ้าพนักงานที่ดินในการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ หากโจทก์ไม่สามารถขอออกโฉนดที่ดินได้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวกับเจ้าพนักงานที่ดินไม่เกี่ยวกับจำเลย การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องถือไม่ได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์ เพราะเห็นว่าการที่โจทก์จะออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการทางเจ้าพนักงานที่ดินคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้โจทก์นั้น เป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะคำสั่งของศาลดังกล่าวเท่ากับเป็นการวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย มีผลเป็นการวินิจฉัยเนื้อหาแห่งคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 131 (2) กรณีมิใช่เรื่องสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 จึงไม่มีเหตุที่จะคืนค่าธรรมเนียมศาลแก่โจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 151 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 28565 ซึ่งด้านทิศตะวันตกอยู่ติดที่ดินของโจทก์ แต่ในการขอออกโฉนดที่ดินดังกล่าวจำเลยได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานว่า ที่ดินของจำเลยด้านทิศตะวันตกติดทางสาธารณประโยชน์ เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยโดยเขียนรูปแผนที่ที่ดินของจำเลยว่าทางด้านทิศตะวันตกติดทางสาธารณประโยชน์ การกระทำของจำเลยดังกล่าวทำให้โจทก์เสียหาย ไม่สามารถขอออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินของโจทก์ได้ ขอให้บังคับจำเลยไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขโฉนดที่ดินเลขที่ 28565 ของจำเลยให้ทางด้านทิศตะวันตกติดที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 319 ของโจทก์ หากการบังคับจำเลยเป็นการขัดข้องให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องแล้ว เห็นว่า การที่โจทก์จะออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการทางเจ้าพนักงานที่ดิน จึงไม่รับฟ้อง คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่ดินของจำเลยด้านทิศตะวันตกติดที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยได้ขอออกโฉนดที่ดินโดยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าที่ดินของจำเลยด้านทิศตะวันตกติดทางสาธารณประโยชน์ เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยและระบุว่าทางด้านทิศตะวันตกติดทางสาธารณประโยชน์ทำให้โจทก์เสียหายไม่สามารถขอออกโฉนดที่ดินได้ แต่โจทก์มิได้บรรยายให้ปรากฏว่าเพราะเหตุใดการกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถขอออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินของโจทก์ได้ อีกทั้งการกระทำของจำเลยดังกล่าวก็เป็นเรื่องการขอออกโฉนดที่ดินในส่วนที่ดินของจำเลยโดยเฉพาะ แม้การแจ้งข้อความของจำเลยต่อเจ้าพนักงานที่ดินจะเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับอาณาเขตที่ดินแต่ก็ไม่มีผลโดยตรงต่อเนื้อที่ดินของโจทก์ กล่าวคือ มิได้ขอออกโฉนดที่ดินรุกล้ำทับที่ดินของโจทก์ หรือกระทำการอันมีลักษณะเป็นการรบกวนการครอบครองหรือแย่งสิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ สิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์มีอยู่อย่างไรก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และเป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องไปพิสูจน์สิทธิครอบครองต่อเจ้าพนักงานที่ดินในการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ หากโจทก์ไม่สามารถขอออกโฉนดที่ดินได้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวกับเจ้าพนักงานที่ดินไม่เกี่ยวกับจำเลย การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องถือไม่ได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
อนึ่ง การที่ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องแล้วเห็นว่า การที่โจทก์จะออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการทางเจ้าพนักงานที่ดิน จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้องเพราะคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเท่ากับเป็นการวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย มีผลเป็นการวินิจฉัยเนื้อหาแห่งคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 131 (2) กรณีมิใช่เรื่องสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 จึงไม่มีเหตุที่จะคืนค่าธรรมเนียมศาลแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารราความแพ่ง มาตรา 151วรรคหนึ่ง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับคำฟ้องและคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์ทั้งหมดเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 โดยให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share