แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ขณะยื่นฟ้อง โจทก์มีต้นฉบับสัญญากู้ยืมเงินแต่สูญหายไปศาลจึงรับฟังสำเนาสัญญากู้ยืมเงินเป็นพยานหลักฐานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2)
โจทก์ตั้งฐานความผิดตามฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินแต่ทางนำสืบของโจทก์หยิบยกข้อเท็จจริงใหม่ไม่ตรงกับฟ้องโจทก์ในข้อสาระสำคัญ และศาลล่างทั้งสองได้ชี้ขาดตัดสินคดีโดยหยิบยกข้อเท็จจริงตามทางนำสืบขึ้นวินิจฉัย จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
โจทก์ตั้งฐานความผิดตามฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินการนำสืบของโจทก์ในเรื่องมูลหนี้เดิมคือมูลหนี้แชร์เป็นการนำสืบถึงที่มาของจำนวนเงินกู้เป็นรายละเอียดของคำฟ้อง โจทก์สามารถนำสืบได้หาใช่นอกฟ้องนอกประเด็นไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2538 จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์จำนวน 200,000 บาท กำหนดชำระภายในวันที่ 5 ธันวาคม2538 จำเลยรับเงินไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้วในวันทำสัญญาครบกำหนดจำเลยไม่ชำระเงินคืน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยและบิดาโจทก์ร่วมเล่นแชร์กันโดยจำเลยเป็นนายวง บิดาโจทก์ประมูลแชร์ได้แต่จำเลยไม่สามารถเก็บเงินจากลูกวงแชร์รายอื่นได้จำนวน 190,000 บาท บิดาโจทก์จึงนำสัญญากู้ที่ยังไม่กรอกข้อความมาให้จำเลยลงชื่อเพื่อเป็นประกัน จำเลยได้ผ่อนชำระให้บิดาโจทก์ไปแล้วจำนวน 30,000 บาท โจทก์ร่วมกับบิดาโจทก์ฉ้อฉลเขียนจำนวนเงินสูงกว่าความเป็นจริงในสัญญากู้แล้วนำมาฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2539 ซึ่งเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยต้องรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่า มูลหนี้เดิมเป็นเรื่องเล่นแชร์ จำเลยฎีกาว่าตัวโจทก์เองมิได้เล่นแชร์กับจำเลย โจทก์กับจำเลยจึงมิได้มีมูลหนี้ต่อกัน หากแต่เป็นบิดาโจทก์ที่เป็นลูกวงแชร์ของจำเลย ในข้อนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ตัวโจทก์เองเป็นผู้เล่นแชร์กับจำเลย ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้นำต้นฉบับสัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารหมาย จ.1 มาแสดงต่อศาลจึงห้ามมิให้รับฟังนั้นเห็นว่า คำแถลงขอคัดเอกสารของทนายโจทก์ฉบับลงวันที่ 2 มกราคม 2540ระบุว่าโจทก์นำต้นฉบับสัญญากู้ยืมเงินที่นำมาฟ้องสูญหายไปเมื่อวันที่ 13ธันวาคม 2539 ภายหลังเสร็จสิ้นการพิจารณาคดีในวันดังกล่าว และในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลฉบับลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2540 ทนายโจทก์แถลงว่า จำเลยเห็นสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวในนัดที่แล้วมีการเจรจากันแต่ไม่สามารถตกลงกันได้ โดยจำเลยยอมรับว่าได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ให้ไว้แก่บิดาโจทก์ด้วย ซึ่งทนายจำเลยได้ลงชื่อในรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวโดยมิได้โต้แย้งในเรื่องนี้ ประกอบกับโจทก์ยื่นคำฟ้องต่อศาลโดยมีสำเนาสัญญากู้ยืมเงินเป็นเอกสารท้ายฟ้อง ยิ่งทำให้น่าเชื่อว่าขณะยื่นฟ้องโจทก์มีต้นฉบับสัญญากู้ยืมเงิน แต่สูญหายไปจึงมีคำแถลงขอคัดเอกสารดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าต้นฉบับเอกสารสัญญากู้ยืมเงินสูญหาย ดังนั้นศาลจึงรับฟังสำเนาสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมายจ.1 เป็นพยานหลักฐานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 93(2) ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า สำเนาสัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารหมายจ.1 ไม่มีลายมือชื่อของพยานทำให้มีข้อพิรุธสงสัยนั้น ในข้อนี้เห็นว่าจำเลยจะต้องรับผิดหรือไม่ ศาลต้องพิจารณาจากข้อความตามสัญญาเป็นหลักโดยเฉพาะจำเลยได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ยืมในสัญญา แม้ไม่มีพยานในสัญญาศาลก็รับฟังได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญากู้เงินที่โจทก์ฟ้อง
จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายประการสุดท้ายว่า โจทก์ตั้งฐานความผิดตามฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงิน แต่ทางนำสืบของโจทก์หยิบยกข้อเท็จจริงใหม่ไม่ตรงกับฟ้องโจทก์ในข้อสาระสำคัญ และศาลล่างทั้งสองได้ชี้ขาดตัดสินคดีโดยหยิบยกข้อเท็จจริงตามทางนำสืบขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องนั้น เห็นว่า การนำสืบของโจทก์ในเรื่องมูลหนี้เดิมคือมูลหนี้แชร์ เป็นการนำสืบถึงที่มาของจำนวนเงินกู้เป็นรายละเอียดของคำฟ้อง โจทก์สามารถนำสืบได้หาใช่นอกฟ้องนอกประเด็นไม่ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน