แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ประทับฟ้องโจทก์ในความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ เนื่องจากไม่มีตัวจำเลยมาศาล ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน มีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องข้อหาความผิดดังกล่าว จึงต้องห้ามฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 6
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 67 โดยขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องอยู่ภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผัดฟ้องและอยู่ในระหว่างที่จำเลยซึ่งเป็นเยาวชนได้รับการปล่อยชั่วคราวจากสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสุพรรณบุรี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีไม่มีตัวจำเลยมาศาลจึงไม่ประทับฟ้อง จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ประทับฟ้องโจทก์ในความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 67 ศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ย่อมมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องข้อหาความผิดดังกล่าวจึงต้องห้ามฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 6 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้ จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาโจทก์