คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3254/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุน โจทก์ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกซึ่งผู้เอาประกันจะต้องรับผิดชอบ บุคคลภายนอกมีสิทธิเรียกร้องจากผู้รับประกันภัยได้โดยตรงตาม ป.พ.พ. มาตรา 887 เมื่อจำเลยผู้เอาประกันภัยทำละเมิดและต้องรับผิดชอบต่อ ว. ท. และ จ. บุคคลภายนอก โจทก์ย่อมมีหน้าที่ที่จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ ว. ท. และ จ. ตามบทบัญญัติในมาตราดังกล่าว โจทก์ไม่อาจนำข้อยกเว้นความรับผิด เนื่องจากขณะขับขี่จำเลยมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดไม่น้อยกว่า 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ข้อ 7.6 ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ใช้บังคับระหว่างโจทก์ผู้รับประกันภัยกับจำเลยผู้เอาประกันภัยไปใช้เป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกตามบทบัญญัติในมาตราดังกล่าวได้ โจทก์ยังต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก เพียงแต่เมื่อโจทก์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกไปแล้ว จำเลยต้องใช้เงินที่โจทก์ใช้ไปนั้นคืนโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน 173,322 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 173,322 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 5,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติว่า โจทก์ประกอบกิจการประกันภัย โจทก์รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน วษ 2195 กรุงเทพมหานคร ไว้จากจำเลยผู้เอาประกันภัย โดยโจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายต่อร่างกายและทรัพย์สินของบุคคลภายนอกด้วย ตามตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ มีเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ในหมวดการคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกสรุปได้ว่า ข้อ 1 บริษัท (โจทก์) จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความสูญเสียหรือความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแก่บุคคลภายนอก ซึ่งผู้เอาประกันภัย (จำเลย) จะต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย เนื่องจากอุบัติเหตุอันเกิดจากรถยนต์ที่ใช้หรืออยู่ในทางระหว่างระยะเวลาประกันภัยในนามผู้เอาประกัน ดังนี้ 1.1 ความเสียหายต่อร่างกาย 1.2 ความเสียหายต่อทรัพย์สิน ข้อ 7 การยกเว้นทั่วไป การประกันภัยตามหมวดนี้ ไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจาก 7.6 การขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดไม่น้อยกว่า 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และข้อ 8 ข้อสัญญาพิเศษ ภายใต้จำนวนเงินจำกัดความรับผิดที่ระบุไว้ในตาราง เงื่อนไข 7.6 บริษัทจะไม่นำมาเป็นข้อต่อสู้บุคลลภายนอกเพื่อปฏิเสธความรับผิดทั้งตาม 1.1 และ 1.2 ในหมวดนี้ ในกรณีที่บริษัทไม่ต้องรับผิดตามกฎหมายหรือรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยนี้ต่อผู้เอาประกันภัย แต่บริษัทได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้วตามเงื่อนไข 7.6 ในความรับผิดที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกไปแล้ว ผู้เอาประกันภัยต้องใช้จำนวนเงินที่บริษัทได้จ่ายไปนั้นคืนให้บริษัทภายใน 7 วัน นับแต่ได้รับหนังสือเรียกร้องจากบริษัท ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ต่อมาวันที่ 26 กรกฎาคม 2546 เวลา 20.30 นาฬิกา ซึ่งอยู่ในระหว่างระยะเวลาประกันภัย จำเลยขับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยตามหลังรถยนต์หมายเลขทะเบียน มค 5224 กรุงเทพมหานคร ที่นายวิชชา ขับอย่างกระชั้นชิด ไม่เว้นให้ห่างพอสมควรในระยะที่จะหยุดรถได้ทันโดยปลอดภัยเมื่อจำเป็นต้องหยุดรถ และขับรถด้วยความเร็ว อีกทั้งจำเลยขับรถในขณะเมาสุรา เมื่อขับรถมาถึงตำบลละหาร อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ก็ชนท้ายรถที่นายวิชชาขับ รถที่นายวิชชาขับเสียการทรงตัวพุ่งชนนายเทพรักษ์ และนางสาวจุรีรัตน์ ที่เดินอยู่ที่ไหล่ทาง เป็นเหตุให้นายวิชชา นายเทพรักษ์ และนางสาวจุรีรัตน์ ได้รับอันตรายสาหัส รถที่นายวิชชาขับได้รับความเสียหาย พนักงานสอบสวนตรวจสถานที่เกิดเหตุและตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของจำเลย ปรากฏว่าวัดได้ 230 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ต่อมาจำเลยถูกพนักงานอัยการฟ้องฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส น่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่น และขณะเมาสุรา จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษ คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ใช้ค่าเสียหาย คือค่าซ่อมรถที่นายวิชชาขับกับค่ารักษาพยาบาลของนายวิชชา เป็นเงิน 120,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลแก่นายเทพรักษ์และนางสาวจุรีรัตน์ 3,322 บาท และ 50,000 บาท ตามลำดับ รวมเป็นค่าเสียหายที่โจทก์ใช้ไปทั้งสิ้น 173,322 บาท โจทก์เรียกร้องทวงถามให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวคืนแก่โจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย
มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเงิน 173,322 บาท แก่โจทก์ ตามข้อ 7 และข้อ 8 แห่งเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 หรือไม่ เห็นว่า กรณีคดีนี้ เป็นเรื่องที่โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนอยู่ด้วย โจทก์ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ บุคคลภายนอกมีสิทธิเรียกร้องจากผู้รับประกันภัยได้โดยตรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 เมื่อจำเลยทำละเมิดและต้องรับผิดชอบต่อนายวิชชา นายเทพรักษ์และนางสาวจุรีรัตน์ โจทก์ย่อมมีหน้าที่ที่จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นายวิชชา นายเทพรักษ์และนางสาวจุรีรัตน์ ตามบทบัญญัติในมาตราดังกล่าว โจทก์ไม่อาจนำความที่จำเลยจะต้องรับผิดชอบต่อนายวิชชา นายเทพรักษ์ และนางสาวจุรีรัตน์ บุคคลภายนอก เพื่อปฏิเสธความรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ ที่ข้อ 7 กำหนดยกเว้นทั่วไป ไว้ว่าการประกันภัยตามหมวดการคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจาก 7.6 การขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดไม่น้อยกว่า 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เป็นข้อตกลงที่ใช้บังคับระหว่างโจทก์ผู้รับประกันภัยกับจำเลยผู้เอาประกันภัย ไม่อาจนำข้อตกลงนี้ไปใช้เป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าว โจทก์ยังต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก เพียงแต่เมื่อโจทก์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกไปแล้ว จำเลยต้องใช้เงินที่โจทก์ใช้ไปนั้นคืนโจทก์ ซึ่งตามข้อ 8 ก็กำหนดไว้เช่นนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระเงิน 173,322 บาท แก่โจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฏีกาให้เป็นพับ

Share