แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องระบุไว้ชัดเจนว่าจำเลยกับพวกร่วมกันกันลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้าง โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป แม้คำฟ้องของโจทก์จะมิได้ระบุอนุมาตรามาก็ตาม แต่คำขอท้ายฟ้องนั้น ป.วิ.อ. มาตรา 158 (6) ระบุแต่เพียงให้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดเท่านั้นหาได้บังคับว่าจะต้องระบุอนุมาตราใดด้วยไม่ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย และข้อหาความผิดตามฟ้องมิใช่เป็นคดีที่มีอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นสอบคำให้การและจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องของโจทก์ ศาลชั้นต้นย่อมพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง และข้อเท็จจริงย่อมรับฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามที่กล่าวอ้างในฟ้อง อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 335 (7) (11) วรรคสอง ศาลล่างทั้งสองก็ชอบที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยตามนั้น มิได้เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 83
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) (11) วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 วางโทษจำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ที่โจทก์อ้างในคำขอท้ายฟ้องมีการกระทำที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นความผิดหลายอนุมาตรา แต่โจทก์อ้างเพียงมาตรา 335 โดยมิได้ระบุว่าการกระทำความผิดของจำเลยเป็นความผิดตามอนุมาตราใด คำฟ้องของโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (6) ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) (11) วรรคสอง จึงเป็นการพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องระบุไว้ชัดเจนว่าจำเลยกับพวกร่วมกันลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 แม้คำฟ้องของโจทก์จะมิได้ระบุอนุมาตรามาก็ตามแต่คำขอท้ายฟ้องนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (6) ระบุแต่เพียงให้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดเท่านั้นหาได้บังคับว่าจะต้องระบุว่าอนุมาตราใดด้วยไม่ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย และข้อหาความผิดตามฟ้องมิใช่เป็นคดีที่มีอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป หรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นสอบคำให้การและจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องของโจทก์ ศาลชั้นต้นย่อมพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง และข้อเท็จจริงย่อมรับฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามที่กล่าวอ้างในฟ้องอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) (11) วรรคสอง ศาลล่างทั้งสองก็ชอบที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยตามนั้น มิได้เป็นการพิพากษาเกินคำขอฎีกาในข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษจำคุกนั้น เห็นว่า จำเลยเป็นลูกจ้างของผู้เสียหายแต่จำเลยกลับร่วมกับพวกลักทรัพย์ของผู้เสียหาย พฤติการณ์เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ แม้จำเลยจะอ้างว่ายังอยู่ในระหว่างศึกษาเล่าเรียนแต่ตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติปรากฏว่า ก่อนคดีนี้เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2546 จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกมีกำหนด 6 เดือน ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2656/2546 ของศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง และศาลให้โอกาสแก่จำเลยเพื่อกลับตนเป็นพลเมืองดี จึงรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยไว้มีกำหนด 1 ปี แต่จำเลยก็หาได้แก้ไขปรับปรุงไม่ กลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีก อันแสดงให้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดติดนิสัยไม่สำนึกหรือเกรงกลัวต่อโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ส่วนที่จำเลยมีภาระต้องอุปการะเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัว ตลอดจนสามารถแก้ไขปรับปรุงตัวหลังเกิดเหตุโดยไม่ปรากฏว่ามีความประพฤติที่เสียหาย หรือมีเหตุอื่นดังที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกา ก็มิเป็นเหตุเพียงพอที่จะรับฟังเพื่อรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย อย่างไรก็ตามผู้เสียหายได้รับทรัพย์ที่ถูกประทุษร้ายคืนไปจากจำเลยแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี ก่อนลดโทษให้นั้น เป็นการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษที่หนักเกินไป เห็นสมควรแก้ไขเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีฎีกาในข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากาศาลอุทธรณ์