คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3250/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาประกันภัยเป็นสัญญาที่ต้องการความสุจริตหรือความไว้วางใจระหว่างคู่สัญญาเป็นสำคัญ ฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้เอาประกันภัยที่จะต้องเปิดเผยข้อความจริงให้ผู้รับประกันภัยรับรู้ ขณะที่ ส. ขอทำสัญญาประกันภัยกับจำเลยทั้งห้า ส. ได้เอาประกันภัยกับผู้รับประกันภัยรายอื่นอีกนับสิบรายเป็นจำนวนหลายสิบกรมธรรม์ รวมเป็นจำนวนเงินเอาประกันภัยกว่า 47 ล้านบาท ย่อมถือได้ว่า ส. เป็นบุคคลที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากการขอเอาประกันภัยไว้เป็นจำนวนเงินที่สูง โดยไม่ปรากฏหลักฐานว่าเหมาะสมกับฐานะหรืออาชีพของ ส. หรือไม่อย่างไร และอาจมีมูลเหตุไปในทางไม่สุจริต การเอาประกันภัยกับผู้รับประกันภัยรายอื่นจึงถือเป็นสาระสำคัญที่ ส. ต้องเปิดเผยข้อความจริงดังกล่าวให้จำเลยทั้งห้าทราบ เพราะอาจจูงใจให้จำเลยทั้งห้าเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่รับประกันภัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้การที่จำเลยทั้งห้ายอมตกลงเข้าทำประกันภัยตามฟ้องกับ ส. จึงเกิดจากความไม่สุจริตของ ส. ที่ไม่เปิดเผยข้อความจริงอันเป็นสาระสำคัญ สัญญาประกันภัยตามฟ้องย่อมตกเป็นโมฆียะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 865 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยทั้งห้าบอกล้างโดยชอบแล้ว สัญญาประกันภัยจึงตกเป็นโมฆะ

ย่อยาว

คดีทั้งห้าสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์ทุกสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 และเรียกจำเลยทุกสำนวนว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 เรียงตามลำดับ
โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 ทั้งห้าสำนวนฟ้องรวมความว่าขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 5,000,000 บาท จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 5,250,000 บาท จำเลยที่ 3 ชำระเงินตามกรมธรรม์เลขที่ 0/70/04/000719 จำนวน 3,000,000 บาท และจำเลยที่ 5 ชำระเงินตามกรมธรรม์เลขที่ P 701762760 จำนวน 400,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสี่ จำเลยที่ 3 ชำระเงินตามกรมธรรม์เลขที่ 0/7A/05/000481 จำนวน 500,000 บาท กับตามกรมธรรม์เลขที่ 0/7I/05/000947 จำนวน 1,000,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 จำเลยที่ 4 ชำระเงิน 2,000,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 5 ชำระเงินตามกรมธรรม์เลขที่ P 701674340 จำนวน 10,000,000 บาท และตามกรมธรรม์เลขที่ T 116838564 จำนวน 1,250,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 กับชำระเงินตามกรมธรรม์เลขที่ P 701760393 จำนวน 1,000,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 และตามกรมธรรม์เลขที่ P 701762760 จำนวน 400,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสี่ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งห้าให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 9 สิงหาคม 2549) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสี่ จำเลยที่ 2 ชำระเงินตามกรมธรรม์ 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 10 สิงหาคม 2549) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสี่ จำเลยที่ 3 ชำระเงินตามกรมธรรม์จำนวน 3,000,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสี่ และตามกรมธรรม์จำนวน 1,500,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 15 สิงหาคม 2549) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยที่ 4 ชำระเงิน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 16 สิงหาคม 2549) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 5 ชำระเงินตามกรมธรรม์จำนวน 11,250,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 ตามกรมธรรม์จำนวน 1,000,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 และตามกรมธรรม์จำนวน 400,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสี่ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 14 พฤศจิกายน 2549) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งห้าใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสี่ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยแต่ละคนต้องรับผิด โดยกำหนดค่าทนายความให้จำเลยแต่ละคนรับผิดคนละ 100,000 บาท
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทุกสำนวน ให้โจทก์ทั้งสี่ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 โดยกำหนดค่าทนายความรวม 20,000 บาท 20,000 บาท 19,000 บาท 14,000 บาท และ 30,000 บาท ตามลำดับ
โจทก์ทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า นายสมบูรณ์เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ 1 มีโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นบุตร เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2547 นายสมบูรณ์ขอทำสัญญาประกันภัยอุบัติเหตุกับจำเลยที่ 1 เงินเอาประกัน 5,000,000 บาท มีโจทก์ทั้งสี่เป็นผู้รับประโยชน์ตามแบบคำขอเอาประกันภัยอุบัติเหตุ โดยนายสมบูรณ์ตอบคำถาม ข้อ 6 ในเอกสารดังกล่าวว่าเคยเอาประกันภัยอุบัติเหตุหรือประกันชีวิตกับจำเลยที่ 5 เงินเอาประกันภัย 10,000,000 บาท จำเลยที่ 1 ตกลงรับประกันภัย เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2547 นายสมบูรณ์ขอทำสัญญาประกันภัยอุบัติเหตุกับจำเลยที่ 2 เงินเอาประกันภัย 5,000,000 บาท มีโจทก์ทั้งสี่เป็นผู้รับประโยชน์ตามแบบคำขอเอาประกันภัยอุบัติเหตุ และศาลจังหวัดนนทบุรี นายสมบูรณ์ตอบคำถามข้อ 7 ในเอกสารดังกล่าวว่าเคยเอาประกันภัยอุบัติเหตุหรือประกันชีวิตกับจำเลยที่ 5 เงินเอาประกันภัย 1,000,000 บาท จำเลยที่ 2 ตกลงรับประกันภัย เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2547 และวันที่ 15 สิงหาคม 2548 นายสมบูรณ์ขอทำสัญญาประกันอุบัติเหตุกับจำเลยที่ 3 เงินเอาประกันภัย 3,000,000 บาท 500,000 บาท และ 1,000,000 บาท ตามลำดับ มีโจทก์ทั้งสี่และโจทก์ที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้รับประโยชน์ตามแบบคำขอเอาประกันภัยอุบัติเหตุ นายสมบูรณ์ตอบคำถามในเอกสารว่า ไม่เคยเอาประกันภัยอุบัติเหตุหรือประกันชีวิตกับผู้รับประกันภัยรายอื่น และในเอกสารว่า เคยเอาประกันภัยไว้กับผู้รับประกันภัยรายอื่น 2 ราย เงินเอาประกันภัย 5,000,000 บาท จำเลยที่ 3 ตกลงรับประกันภัย เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2547 นายสมบูรณ์ขอทำสัญญาประกันภัยอุบัติเหตุกับจำเลยที่ 4 เงินเอาประกันภัย 2,000,000 บาท มีโจทก์ที่ 1 เป็นผู้รับประโยชน์ตามแบบคำขอเอาประกันภัยอุบัติเหตุเอกสารหมาย ปล.32 (ศาลแพ่ง) นายสมบูรณ์ตอบคำถามในเอกสารดังกล่าวว่า ไม่เคยเอาประกันภัยอุบัติเหตุหรือประกันชีวิตกับผู้รับประกันภัยรายอื่น จำเลยที่ 4 ตกลงรับประกันภัย เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2548 วันที่ 28 มกราคม 2548 และวันที่ 6 มีนาคม 2548 นายสมบูรณ์ขอทำสัญญาประกันภัยอุบัติเหตุและประกันชีวิตกับจำเลยที่ 5 เงินเอาประกันภัย 10,000,000 บาท 250,000 บาท 1,000,000 บาท และ 400,000 บาท ตามลำดับ มีโจทก์ทั้งสี่เป็นผู้รับประโยชน์ตามแบบคำขอเอาประกันอุบัติเหตุ และแบบคำขอเอาประกันชีวิต นายสมบูรณ์ตอบคำถามในเอกสารว่าเคยเอาประกันอุบัติเหตุหรือประกันชีวิตกับจำเลยที่ 5 เพียงรายเดียวและไม่เคยถูกปฏิเสธไม่รับประกันภัยจากผู้รับประกันภัยรายอื่นมาก่อน กับตอบคำถามในเอกสารว่า ไม่เคยเอาประกันภัยอุบัติเหตุหรือประกันชีวิตกับผู้รับประกันภัยรายอื่น และไม่เคยถูกปฏิเสธไม่รับประกันภัยจากผู้รับประกันภัยรายอื่นจำเลยที่ 5 ตกลงรับประกันภัยตามตารางกรมธรรม์ ซึ่งความจริงนายสมบูรณ์เคยขอเอาประกันภัยอุบัติเหตุกับบริษัทไอเอ็นจี ประกันภัย จำกัด เงินเอาประกันภัย 10,000,000 บาท แต่บริษัทดังกล่าวปฏิเสธไม่รับประกันภัย ต่อมาวันที่ 22 พฤศจิกายน 2548 เวลาประมาณ 19 นาฬิกา นายสมบูรณ์ขับรถยนต์กระบะไปตามถนนสายกุมภวาปี – ท่าคันโท จากอำเภอศรีธาตุม่งหน้าไปทางอำเภอท่าคันโทและเฉี่ยวชนกับรถยนต์บรรทุกน้ำมันที่แล่นสวนทางมา เป็นเหตุให้นายสมบูรณ์ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2548 และคู่ความรับข้อเท็จจริงว่า นายสมบูรณ์ได้เอาประกันภัยไว้กับบริษัทอื่น ๆ ตามเอกสาร ซึ่งปรากฏตามเอกสารดังกล่าวว่าในขณะที่นายสมบูรณ์ขอทำสัญญาประกันภัยกับจำเลยทั้งห้า นายสมบูรณ์เอาประกันภัยกับผู้รับประกันภัยรายอื่นอีกนับสิบราย จำนวนหลายสิบกรมธรรม์ เงินเอาประกันภัยรวมกันประมาณ 47,000,000 บาท แต่นายสมบูรณ์ปกปิดข้อความจริงดังกล่าวไม่แจ้งให้จำเลยทั้งห้าทราบ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสี่ว่า การที่นายสมบูรณ์ปกปิดข้อความจริงที่ได้ทำประกันภัยไว้กับบริษัทอื่นอีกหลายบริษัทเป็นเงินเอาประกันภัยจำนวนมากเป็นการไม่เปิดเผยข้อความจริงอันเป็นสาระสำคัญมีผลทำให้สัญญาประกันภัยตามฟ้องเป็นโมฆียะหรือไม่ เห็นว่า สัญญาประกันภัยเป็นสัญญาที่ต้องการความสุจริตหรือความไว้วางใจระหว่างคู่สัญญาเป็นสำคัญอย่างยิ่ง ข้อความจริงต่าง ๆ ที่ควรนำมาพิจารณาว่าจะตกลงทำสัญญาประกันภัยหรือไม่โดยปกติแล้วผู้เอาประกันภัยเป็นผู้มีโอกาสรู้แต่เพียงฝ่ายเดียว ผู้รับประกันภัยจะไม่มีโอกาสรับรู้ได้เลยหากผู้เอาประกันภัยไม่แจ้งให้ทราบ ฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้เอาประกันภัยที่ต้องเปิดเผยข้อความจริงให้ผู้รับประกันภัยรับรู้ซึ่งเมื่อผู้รับประกันภัยรับรู้แล้วอาจเป็นเหตุจูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือให้บอกปัดไม่ทำสัญญาก็ได้ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคหนึ่ง ดังนั้นขณะที่นายสมบูรณ์ขอทำสัญญาประกันภัยกับจำเลยทั้งห้านายสมบูรณ์ก็ได้เอาประกันภัยกับผู้รับประกันภัยรายอื่นอยู่ด้วยนับสิบรายเป็นจำนวนหลายสิบกรมธรรม์รวมเป็นเงินเอาประกันภัยประมาณ 47,000,000 บาท ย่อมถือได้ว่านายสมบูรณ์เป็นบุคคลที่มีความเสี่ยงภัยสูง เนื่องจากขอเอาประกันภัยไว้เป็นเงินจำนวนที่สูงโดยไม่ปรากฏหลักฐานข้อความจริงว่าการเอาประกันภัยตามจำนวนเงินที่สูงเช่นนั้นเหมาะสมกับฐานะหรืออาชีพของนายสมบูรณ์อย่างไรจึงอาจมีมูลเหตุจูงใจไปในทางที่ไม่สุจริต และหากจำเลยทั้งห้าได้รู้หรือควรรู้ข้อความจริงดังกล่าว จำเลยทั้งห้าก็ต้องนำข้อความจริงนั้นมาเป็นหลักในการพิจารณาว่าจะรับประกันภัยนายสมบูรณ์หรือไม่ ข้อความจริงดังกล่าวจึงถือว่าเป็นสาระสำคัญที่นายสมบูรณ์ต้องเปิดเผยให้จำเลยทั้งห้าทราบซึ่งอาจจูงใจจำเลยทั้งห้าให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ที่โจทก์ทั้งสี่อ้างว่าแบบคำขอเอาประกันภัยไม่สามารถเขียนข้อความให้ครบถ้วนได้นั้น เห็นว่า หากนายสมบูรณ์ไม่มีเจตนาปกปิดข้อความจริงดังกล่าว นายสมบูรณ์ต้องระบุข้อความโดยย่อให้พอทราบได้ว่าในขณะขอทำสัญญาประกันภัยกับจำเลยทั้งห้า นายสมบูรณ์ได้เอาประกันภัยไว้กับผู้รับประกันภัยรายอื่นไว้แล้วจำนวนประมาณกี่ราย เป็นเงินเอาประกันภัยจำนวนประมาณเท่าไร เพื่อจำเลยทั้งห้าสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากนายสมบูรณ์ก่อนที่จะตกลงทำสัญญาประกันภัยนั้น นอกจากนี้ในแบบคำขอเอาประกันภัยยังมีข้อความเตือนผู้เอาประกันภัยปรากฏไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้เอาประกันภัยต้องแจ้งข้อความจริง มิฉะนั้นผู้รับประกันภัยอาจปฏิเสธความรับผิดได้ ซึ่งนายสมบูรณ์เคยเป็นตัวแทนประกันภัยมาก่อนย่อมต้องทราบเงื่อนไขดังกล่าวดี ดังนั้น การที่จำเลยทั้งห้ายอมตกลงเข้าทำสัญญาประกันภัยตามฟ้องกับนายสมบูรณ์ จึงเกิดขึ้นจากความไม่สุจริตของนายสมบูรณ์ที่ไม่เปิดเผยข้อความจริงอันเป็นสาระสำคัญให้จำเลยทั้งห้าทราบ หาใช่เกิดจากการที่จำเลยทั้งห้าละเลยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้เอาประกันภัยไม่ สัญญาประกันภัยตามฟ้องย่อมตกเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยทั้งห้าได้บอกล้างโดยชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคสอง แล้ว สัญญาประกันภัยตามฟ้องจึงตกเป็นโมฆะ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ทั้งสี่อีกเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ฎีกาของโจทก์ทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าสินไหมทดแทนจำนวน 5,250,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 5,000,000 บาท โจทก์ไม่อุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสี่ฎีกา ทุนทรัพย์ชั้นฎีกาในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงมีเพียง 5,000,000 บาท แต่โจทก์ทั้งสี่เสียค่าขึ้นศาลส่วนนี้โดยคิดจากทุนทรัพย์จำนวน 5,250,000 บาท เป็นการเสียค่าขึ้นศาลเกินมา จึงให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียมาเกินจำนวน 6,250 บาทแก่โจทก์ทั้งสี่
พิพากษายืน แต่ให้คืนค่าขึ้นศาลที่โจทก์ทั้งสี่เสียมาเกินในส่วนทุนทรัพย์ของจำเลยที่ 2 จำนวน 6,250 บาท แก่โจทก์ทั้งสี่ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share