คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 601/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำฟ้องที่โจทก์มิได้ลงลายมือชื่อโจทก์ คงมีแต่ทนายโจทก์ลงลายมือชื่อในช่องผู้เรียงพิมพ์ในคำฟ้อง เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 67(5) ศาลมีอำนาจสั่งให้คืนหรือแก้ไขคำฟ้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคสอง แต่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งในเรื่องดังกล่าว ต่อมาจำเลยอุทธรณ์ โจทก์ได้ลงลายมือชื่อในคำแก้อุทธรณ์แล้ว จึงเป็นที่ชัดแจ้งว่า โจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีนี้จริง การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาให้โจทก์ลงลายมือชื่อในคำฟ้อง แล้วอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปถือว่าได้มีการแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวแล้ว ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้ตกลงรับจ้างโจทก์ทำการก่อสร้างตึกแถวสามชั้น แล้วทำการปลูกสร้างรุกล้ำที่สาธารณะจนเทศบาลมีคำสั่งห้ามทำการก่อสร้าง จำเลยทั้งสามจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาโจทก์ได้ให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาแล้วขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงินที่รับไปแล้วและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 106,250บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากต้นเงิน 100,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ได้ปลูกสร้างไปแล้วทั้งหมดออกจากที่ดิน หากไม่รื้อถอนให้จำเลยทั้งสามชำระค่ารื้อถอนแก่โจทก์เป็นเงิน 40,000 บาท ให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 50,000 บาท และให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินเสร็จสิ้น
จำเลยทั้งสามให้การว่าจำเลยทั้งสามได้ทำการก่อสร้างโดยมีโจทก์เป็นผู้ควบคุมและสั่งการทุกวัน เมื่อทำการก่อสร้างงวดที่ 2เสร็จ จำเลยทั้งสามได้นำเช็คซึ่งโจทก์ชำระค่าก่อสร้างล่วงหน้าไปเรียกเก็บ แต่เรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยทั้งสามจึงให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและขอให้ชำระหนี้ โจทก์เพิกเฉยโจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา และจำเลยที่ 1 ได้ยื่นฟ้องโจทก์ให้ปฏิบัติตามสัญญาเดิมให้โจทก์ชำระค่าก่อสร้างงวดที่ 2 ตามคดีหมายเลขดำที่487/2530 ของศาลชั้นต้น ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 28 มีนาคม 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ได้ปลูกสร้างลงไปแล้วออก ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับจากเดือนกรกฎาคม 2529จนกว่าจำเลยจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินเสร็จสิ้นคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในเบื้องต้นเห็นควรวินิจฉัยข้อที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า โจทก์ไม่ลงลายมือชื่อในคำฟ้อง เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเสียก่อน คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์มิได้ลงลายมือชื่อในคำฟ้อง คงมีแต่นายสุรชัย ทัศนานุกุลกิจ ทนายความซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากโจทก์ลงลายมือชื่อเป็นผู้เรียงพิมพ์ในคำฟ้องดังนั้น ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 67(5) แต่กรณีดังกล่าวเป็นข้อบกพร่องในเรื่องที่มิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งให้คืนหรือแก้ไขคำฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคสอง แต่ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาไปโดยมิได้สั่งให้คืนหรือแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าว แต่ก็ได้มีการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาและในชั้นอุทธรณ์โจทก์ก็ได้ลงชื่อในคำแก้อุทธรณ์แล้ว จึงเป็นที่ชัดแจ้งว่าโจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีนี้จริงการที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาให้โจทก์ลงลายมือชื่อในคำฟ้องแล้วอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปจึงถือว่าได้มีการแก้ไขในข้อบกพร่องดังกล่าวแล้ว ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามต่อไปว่าจำเลยหรือโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share