แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโฉนดที่ดินโดยโจทก์ทั้งสี่และ ส. เจ้ามรดกตกลงให้จำเลยทั้งสองใส่ชื่อไว้แทน แสดงว่าที่ดินมิใช่ของจำเลยทั้งสอง แต่โจทก์ทั้งสี่และ ส. ให้จำเลยทั้งสองลงชื่อไว้แทนเท่านั้นสิทธิครอบครองและกรรมสิทธิ์ยังเป็นของทายาททุกคนมิใช่ของจำเลยทั้งสองการที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสี่หากฟ้องโจทก์ทั้งสี่เป็นความจริงแล้ว คำขอบังคับก็เป็นการขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โฉนดที่ดิน และการให้ไปในตัว โจทก์ทั้งสี่ไม่จำเป็นต้องไปฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โฉนดที่ดินและการให้เสียก่อน ดังนั้น คำพิพากษาที่วินิจฉัยให้จดทะเบียนแบ่งที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสี่จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ หลังจาก ผ. เจ้ามรดกถึงแก่กรรม โจทก์บางคนร่วมกับจำเลยที่ 1 ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา และการที่จำเลยทั้งสองมีชื่อในที่ดินพิพาทเป็นการถือสิทธิและครอบครองแทนทายาทโจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของ ส.และผ. ย่อมมีสิทธิฟ้องแบ่งมรดกได้แม้จะฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลง เป็นมรดกของนางผุกหรือปุกและนายสา โนนพิลา ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) เลขที่ 2431,2425 และให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) เลขที่ 2434 ให้แก่โจทก์ทั้งสี่คนละ1 ส่วน ในจำนวน 5 ส่วน หากจำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.) เลขที่ 2431 นายสา โนนพิลา ได้สิทธิครอบครองและโอนสิทธิครอบครองให้แก่จำเลยที่ 1 โดยจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยที่ 1 ครอบครองทำประโยชน์มาเกินกว่า 1 ปี แล้วจึงได้สิทธิครอบครอง ส่วนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.) เลขที่ 2425 จำเลยที่ 1 ก็ได้สิทธิครอบครองตามกฎหมายและให้โจทก์ที่ 2 ปลูกบ้านอยู่ชั่วคราว สำหรับที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 31783 และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.)เลขที่ 2434 จำเลยทั้งสองครอบครองมาโดยชอบ มิใช่ทรัพย์มรดกของนางผุกหรือปุกและนายสาโจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี นับแต่นายสาเจ้ามรดกถึงแก่กรรม คดีขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลง เป็นทรัพย์มรดกของนางผุก โนนพิลา มารดาโจทก์ทั้งสี่และจำเลยที่ 1 คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ และที่โจทก์ไม่ได้ระบุในคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยที่ 1จดทะเบียนแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 31783 แก่โจทก์นั้น แต่ตามฟ้องมีข้อความให้จำเลยที่ 1 แบ่งที่ดินแปลงดังกล่าว จึงถือได้ว่าโจทก์ประสงค์ขอให้จำเลยที่ 1 แบ่งที่ดินแปลงนี้ด้วย พิพากษาให้จำเลยที่ 1จดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.)เลขที่ 2431 และ 2425 ตำบลสำราญ อำเภอเมืองขอนแก่นจังหวัดขอนแก่น ให้แก่โจทก์ทั้งสี่คนละ 1 ส่วน ในจำนวน 10 ส่วน กับให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 31783 ตำบลสำราญ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น และให้จำเลยที่ 2จดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.)เลขที่ 2434 ตำบลสำราญ อำเภอเมืองขอนแก่น และจังหวัดขอนแก่นให้แก่โจทก์ทั้งสี่คนละ 1 ส่วน ในจำนวน 20 ส่วน หากจำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อที่ 2 และที่ 3 ว่าที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลง เป็นของจำเลยทั้งสอง เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ คงรับวินิจฉัยให้เฉพาะฎีกาข้อที่ 4 และที่ 5 ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายโดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์มิได้ฟ้องหรือโต้แย้งว่าการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) และการขอออกโฉนดที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงไม่สมบูรณ์และมิได้ฟ้องขอให้เพิกถอน น.ส.3ก. โฉนดที่ดินและการให้ และมิได้นำสืบถึงความสมบูรณ์ของการให้ การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยถือว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองมีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโฉนดที่ดินโดยโจทก์ทั้งสี่และนายสาตกลงให้จำเลยทั้งสองใส่ชื่อไว้แทนแสดงว่าที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงมิใช่ของจำเลยทั้งสอง แต่โจทก์ทั้งสี่และนายสาให้จำเลยทั้งสองลงชื่อไว้แทนเท่านั้น สิทธิครอบครองและกรรมสิทธิ์ยังเป็นของทายาททุกคนมิใช่ของจำเลยทั้งสอง อีกทั้งการที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องและขอบังคับให้จำเลยทั้งสองแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสี่ หากฟ้องของโจทก์ทั้งสี่เป็นความจริงแล้ว คำขอบังคับคดีก็เป็นการขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โฉนดที่ดินและการให้ไปในตัว โจทก์ทั้งสี่ไม่จำต้องไปฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โฉนดที่ดินและการให้เสียก่อน ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในข้อเหล่านี้จึงมิได้เป็นการพิพากษาเกินคำขอตามที่จำเลยทั้งสองฎีกา และที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่นายสาถึงแก่กรรมนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หลังจากนางผุกถึงแก่กรรม ที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงนี้โจทก์บางคนร่วมกับจำเลยที่ 1ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินแต่ละแปลงตลอดมา และการที่จำเลยทั้งสองมีชื่อในที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงเป็นการถือสิทธิและครอบครองแทนทายาทดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยไว้ โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของนายสาและนางผุกย่อมมีสิทธิฟ้องแบ่งมรดกของนายสาและนางผุกได้แม้จะฟ้องเกิน 1 ปีนับแต่เจ้ามรดกตายคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษา มาศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน