คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3244/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ออกจากราชการสืบเนื่องมาจากจำเลยที่ 1 ทำบันทึกแจ้งความประสงค์จะออกจากราชการไปเป็นพนักงานการทางพิเศษแห่งประเทศไทย จำเลยที่ 1 จะอ้างว่ามหาวิทยาลัยได้มีคำสั่งให้ออกจากราชการตามความในข้อ 10 และข้อ 24แห่งกฎทบวง ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2519) ออกตามความใน พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2507 ประกอบด้วยมาตรา 96(2) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518ซึ่งเป็นกรณีสั่งให้ออกจากราชการเมื่อข้าราชการผู้นั้นสมัครไปปฏิบัติงานใด ๆ ตามความประสงค์ของทางราชการเพื่อให้จำเลยที่ 1พ้นจากความรับผิดที่มีต่อโจทก์ตามสัญญาการรับทุนหาได้ไม่ จำเลยที่ 1ยังคงมีความผูกพันตามสัญญาการรับทุนเมื่อจำเลยที่ 1 รับราชการไม่ครบกำหนดเวลาตามที่ตกลงไว้ จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดใช้ทุน ก.พ. ที่โจทก์จ่ายไปแล้ว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้รับคัดเลือกและอนุมัติจากโจทก์ให้เป็นนักเรียนทุนไปศึกษา ณ ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วต้องกลังมารับราชการไช้ทุนเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองเท่าของระยะเวลาศึกษา หากจำเลยที่ 1 ไม่ยอมเข้ารับราชการตามที่โจทก์กำหนดจะต้องรับผิดชดใช้ทุนที่โจทก์จ่ายไปแล้วพร้อมเบี้ยปรับ ทั้งนี้โดยมีนางยื่อ แซ่อึ้ง ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้วและมีจำเลยที่ 2 เป็นทายาทผู้จัดการมรดก เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ศึกษาต่อสำเร็จและกลับมาปฏิบัติหน้าที่ราชการตามโจทก์กำหนดระยะหนึ่งแล้วโอนไปปฏิบัติงานที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยก่อนครบกำหนดระยะเวลาชดใช้ทุนเป็นการผิดสัญญา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 251,744.91 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้สอบชิงทุนได้และได้ทำสัญญาการรับทุนกับโจทก์จริง เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วได้เข้ารับราชการที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นระหว่างรับราชการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจได้ขอตัวจำเลยที่ 1 ไปรับการบรรจุทำงานเกี่ยวกับการออกแบบสะพาน มหาวิทยาลัยขอนแก่น เห็นว่าจำเลยที่ 1จะไปทำงานให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติได้มากกว่า จึงมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ออกจากราชการเพื่อไปบรรจุเข้าทำงานที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย เมื่อจำเลยออกจากการเป็นข้าราชการแล้ว จำเลยก็เข้าทำงานที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยตลอดมา คำสั่งมหาวิทยาลัยขอนแก่นดังกล่าวได้สั่งโดยอาศัยอำนาจของโจทก์ซึ่งระบุไว้ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้างราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2507และพระราชบัญญัติระเบียบข้ารการพลเรือน พ.ศ. 2518 เป็นการปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ การที่จำเลยที่ 1 ต้องออกจากราชการเพราะคำสั่งของมหาวิทยาลัยขอนแก่นซึ่งอาศัยอำนาจของโจทก์ ถือว่าโจทก์เป็นผู้สั่งให้จำเลยออกจากราชการและโจทก์เป็นผู้ทำให้เกิดการผิดสัญญาขึ้นเอง สัญญาการรับทุนระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ข้อ 6 และช้อ 7 มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นการพ้นวิสัย และขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาที่จะออกจากการรับราชการ และไม่เคยมีเจตนาทำการอันใดเป็นการผิดสัญญา แต่จำเลยที่ 1 จำต้องออกจากราชการเพราะมีคำสั่งให้ออก จึงเป็นการพ้นวิสัยและเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยที่ 1 จะปฏิบัติตามสัญญาได้ในกรณีที่ผู้ได้รับทุนจากโจทก์ไปศึกษาวิชาในต่างประเทศกลับมาแล้วลาออกจากราชการเพื่อรับตำแหน่งข้าราชการเมือง หรือขอลาออกจากราชการไปสมัครรับเลือกตั้งตามกฎหมายเลือกตั้งตามกฎหมายเลือกตั้ง หรือขอลาออกจากราชการตามความต้องการของรัฐบาลนั้นมีมติคณะรัฐมนตรีวินิจฉัยไว้ว่าบุคคลดังกล่าวได้รับการผ่อนผันไม่ต้องชดใช้เงินตามสัญญา จำเลยที่ 1 มิใช่ลาออกจากราชการ แต่เป็นเรื่องที่ทางราชการสั่งให้จำเลยออกจากราชการจะถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ผิดสัญญาเป็นการไม่ชอบ จำเลยที่ 1ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินทุนและเบี้ยปรับให้แก่โจทก์จำนวน 251,744.91 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 1 ขอแถลงการณ์ด้วยวาจานั้นเห็นว่า ไม่จำเป็น จึงให้งด ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยที่ 1 นำสืบฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ 1 ได้รับการคัดเลือกเป็นนักเรียนทุนรัฐบาล (ทุน ก.พ.) ให้ไปศึกษาวิชาวิศวกรรมโยธา สาขาโครงสร้างระดับปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริการ ตามความต้องการของมหาวิทยาลัยขอนแก่น จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากับโจทก์ว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว จำเลยที่ 1 จะเข้ารับราชการในกระทรวง ทบวง กรม ที่โจทก์กำหนดโดยจะต้องรับราชการต่อไปอีกไม่น้อยกว่าสองเท่าของระยะเวลาที่จำเลยที่ 1 ได้ศึกษาวิชาในต่างประเทศ ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ยอมเข้ารับราชการตามที่โจทก์กำหนดจำเลยที่ 1 ยอมชดใช้ทุน ก.พ. ที่โจทก์ได้จ่ายไปทั้งสิ้นกับใช้เงินอีกจำนวนหนึ่งเท่ากับทุน ก.พ. ดังกล่าวให้เป็นเบี้ยปรับแก่โจทก์หากจำเลยที่ 1 รับราชการไม่ครบกำหนดเวลาดังกล่าวจำเลยที่ 1ยอมรับผิดใช้ทุน ก.พ. ที่โจทก์จ่ายไปแล้ว รวมทั้งเบี้ยปรับอีกจำนวนหนึ่งดังกล่าวโดยลดลงตามส่วนที่จำเลยที่ 1 รับราชการชดใช้ไปบ้างแล้วทั้งนี้โดยมีนางยื้อเป็นผู้ค้ำประกัน ปรากฏตามสัญญาการรับทุนและสัญญาค้ำประกัน เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 จำเลยที่ 1 ได้ไปศึกษาอยู่เป็นเวลา 2,200 วัน และใช้ทุน ก.พ. ไปรวมเป็นเงินไทย2,057 บาท และเป็นเงินสหรัฐอเมริการ 24,181.17 ดอลล่าร์ ซึ่งจำเลยที่ 1 จะต้องรับราชการชดใช้ทุน ก.พ. มีกำหนด 4,400 วันเมื่อจำเลยที่ 1 สำเร็จการศึกษาแล้วก็กลับมาเข้ารับราชการเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2516 ต่อมาจำเลยที่ 1 ไปช่วยปฏิบัติงานที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยเป็นเวลา1 ปี และการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้มีหนังสือขอตัวจำเลยที่ 1ไปบรรจุเป็นพนักงานของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ตามสำเนาหนังสือขอตัวเอกสารหมาย จ.24 แผ่นที่ 2 มหาวิทยาลัยขอนแก่น ไม่ขัดข้องและได้มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 1กุมภาพันธ์ 2526 ตามเอกสารหมาย จ.8 ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 1 ได้บันทึกแสดงความประสงค์ขอให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นพิจารณาอนุมัติและสั่งให้จำเลยที่ 1 ออกจากราชการเพื่อไปบรรจุเป็นพนักงานการทางพิเศษแห่งประเทศไทยด้วย จำเลยที่ 1 รับราชการไม่ครบ 4,400 วัน ยังขาดอยู่990 วัน โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงินทุนและเบี้ยปรับโดยลดลงตามส่วนที่จำเลยที่ 1 รับราชการชดใช้ไปบ้างแล้วเป็นเงินรวม251,744.91 บาท
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ออกคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ออกจากราชการตามเอกสารหมาย จ.8 แสดงว่ามหาวิทยาลัยขอนแก่นประสงค์จะให้จำเลยที่ 1 ไปปฏิบัติงานเป็นพนักงานการทางพิเศษแห่งประเทศไทย จำเลยที่ 1 ควรได้รับการยกเว้นโดยไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาตามเอกสารหมาย จ.1 จำเลยที่ 1จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์นั้น พิเคราะห์แล้ว ตามเอกสารหมายจ.26 จำเลยที่ 1 ได้ทำบันทึกถึงอธิการบิดีมหาวิทยาลัยขอนแก่นว่าจำเลยที่ 1 มีความประสงค์จะขอไปปฎิบัติงานที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2526 เป็นต้นไปขอให้อธิการบดีพิจารณาอนุมัติและสั่งให้จำเลยที่ 1 ออกจากราชการเพื่อไปบรรจุเป็นพนักงานการทางพิเศษแห่งประเทศไทยต่อไป ต่อมาวันที่ 12 มกราคม 2526 มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ออกคำสั่งให้จำเลยที่ 1ออกจากราชการตามเอกสารหมาย จ.8 เห็นได้ว่าการที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ออกจากราชการ ก็สืบเนื่องมาจากจำเลยที่ 1ทำบันทึกแจ้งความประสงค์จะออกจากราชการไปเป็นพนักงานการทางพิเศษแห่งประเทศไทยตามเอกสารหมาย จ.26 จำเลยที่ 1 จะอ้างว่ามหาวิทยาลัยขอนแก่นออกคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ออกจากราชการ เพื่อให้จำเลยที่ 1 พ้นจากความรับผิดที่จำเลยที่ 1 มีต่อโจทก์ตามสัญญาการรับทุนเอกสารหมาย จ.1 หาได้ไม่ แม้ว่ามหาวิทยาลัยขอนแก่นได้มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ออกจากราชการตามความในข้อ 10 และข้อ 24แห่งกฎทบวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2519) ออกตามความในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2507 ประกอบด้วยมาตรา 96(2) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518ซึ่งเป็นกรณีสั่งให้ออกจากราชการเมื่อข้าราชการผู้นั้นสมัครไปปฏิบัติงานใด ๆ ตามความประสงค์ของทางราชการก็ตาม แต่จำเลยที่ 1ยังคงมีความผูกพันตามสัญญาการรับทุนเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 6 และข้อ 7กล่าวคือ ถ้าจำเลยที่ 1 รับราชการไม่ครบกำหนดเวลาตามที่ตกลงไว้จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดใช้ทุน ก.พ. ที่โจทก์จ่ายไปแล้วรวมทั้งเบี้ยปรับโดยลดลงตามส่วนจำนวนเวลาที่จำเลยที่ 1 รับราชการชดใช้ไปบ้างแล้ว เว้นแต่ในกรณีซึ่ง ก.พ. และกระทรวงการคลังจะใช้ดุลพินิจพิจารณาเห็นว่ามีเหตุผลอันสมควรให้จำเลยที่ 1 พ้นความรับผิด แต่ปรากฏข้อเท็จจริงในคดีนี้ว่า ทั้ง ก.พ. และกระทรวงการคลังยืนยันให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญา อีกทั้งกรณีของจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับการยกเว้นตามมติคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 11 สิงหาคม 2523 ตามเอกสารหมาย จ.14 ที่จะไม่ต้องชดใช้เงินฐานผิดสัญญา เมื่อจำเลยที่ 1 ออกจากราชการก่อนครบกำหนดตามสัญญา จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายแพ้คดีนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share