คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3239/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยได้รับอนุญาตจาก ป. เข้าไปเลี้ยงโคชั่วคราวในที่ดินของป. แล้วจำเลยถือวิสาสะนำโคไปเลี้ยงในที่ดินของโจทก์คือที่พิพาทซึ่งไม่ถือว่าเป็นการแย่งการครอบครอง แต่หลังจาก ป. ตาย จำเลยอ้างว่าได้ซื้อที่ดินแปลงใหญ่รวมทั้งที่พิพาทจาก ป. เมื่อเจ้าหน้าที่มารังวัดที่ดินจำเลยได้โต้แย้งโจทก์ในเรื่องดังกล่าวถือว่าจำเลยแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือมาเป็นของตนนับแต่วันรังวัดเมื่อจำเลยเข้ายึดถือครอบครองยังไม่ครบ 1 ปีดังนี้ โจทก์จึงไม่ขาดสิทธิฟ้องร้องเรียกคืนการครอบครองตามป.พ.พ. มาตรา 1375.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจำเลยได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินแปลงดังกล่าวและปลูกสร้างโรงเรือนสำหรับพักเลี้ยงสัตว์ทั้งทำรั้วกั้นเป็นแนวเขตเพื่อยึดถือครอบครองที่ดินเป็นของตนโจทก์ได้ห้ามปรามแล้วจำเลยไม่เชื่อฟัง การกระทำของจำเลยเป็นการแย่งการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนและรั้วที่จำเลยได้กระทำตามฟ้องนั้นเสียและทำที่ดินให้เหมือนสภาพเดิม
จำเลยให้การว่า ที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทเป็นของจำเลย โดยซื้อมาจากนายปรีชา ชนมนัส จำเลยได้เข้าทำกินปลูกพืชผลอาสินและเลี้ยงสัตว์ ทั้งทำรั้วแสดงความเป็นเจ้าของที่ดินโดยสงบเปิดเผยถือเป็นของตน และเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมาจนปัจจุบัน โจทก์ได้ทราบและรู้เห็นการที่จำเลยบุกเบิกที่ดิน แต่โจทก์ก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด ทั้งโจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงนี้ด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่ดินแปลงพิพาท
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ และโจทก์ฟ้องเรียกคืนการครอบครองภายใน 1 ปี จึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลยพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนและรั้วออกไปจากที่ดินพิพาทโดยทำที่ดินให้เหมือนสภาพเดิมและห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ทำสัญญาซื้อขายเมื่อปี พ.ศ. 2524 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อปี2527 เกิน 1 ปีแล้ว โจทก์ขาดสิทธิฟ้องเรียกคืน พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความทั้งสองศาลแทนจำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยได้ความเบื้องต้นว่าที่ดินแปลงใหญ่รวมทั้งที่พิพาทเดิมเป็นของโจท์ได้ยกที่ดินส่วนหนึ่งทางทิศใต้ให้นายปรีชา ชนมนัส14 ไร่… คดีน่าเชื่อตามคำเบิกความของนางบังอร ภรรยานายปรีชาพยานโจทก์ว่าจำเลยเคยไปขอซื้อที่ดินจากนายปรีชา แต่นายปรีชาไม่ยอม จำเลยจึงขอเข้าไปเลี้ยงโคเป็นการชั่วคราว และเมื่อจำเลยได้รับอนุญาตจากนายปรีชาเข้าไปอาศัยเลี้ยงโคเป็นการชั่วคราวในที่ดินของนายปรีชาแล้ว จำเลยถือวิสาสะนำโคเข้าไปเลี้ยงในที่ดินของโจทก์คือที่พิพาทด้วย ซึ่งถือไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองหลังจากนายปรีชาตายแล้วจำเลยจึงอ้างว่าได้ซื้อที่ดินแปลงใหญ่รวมทั้งที่พิพาทจากนายปรีชา และแม้ต่อมาจำเลยจะได้โต้แย้งต่อโจทก์ในวันที่เจ้าหน้าที่ไปรังวัด วันที่ 27 พฤศจิกายน 2526 ซึ่งถือได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือมาเป็นของตนนับแต่เวลานั้น แต่เมื่อโจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2527จำเลยจึงเข้ายึดถือครอบครองยังไม่ครบ 1 ปี โจทก์ไม่ขาดสิทธิฟ้องร้องเรียกคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375ที่พิพาทเป็นของโจทก์…”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share