แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยและบริวารยอมออกไปจากห้องเลขที่ 34 ของโจทก์ ศาลพิพากษาตามยอม เมื่อโจทก์ขอให้ศาลบังคับให้ผู้ร้องซึ่งเป็นบริวารของจำเลยออกจากห้อง ผู้ร้องคัดค้านว่าห้องที่ผู้ร้องอยู่คือห้องเลขที่ 35 คนละเลขที่กับคำพิพากษา เมื่อฟังได้ว่า ห้องนี้ก็คือห้องที่โจทก์ระบุในฟ้องว่าเป็นห้องเลขที่ 34 นั่นเอง ไม่เป็นการบังคับนอกเหนือไปจากคำพิพากษา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเลขที่ ๓๔ ในวันที่ครบกำหนดยื่นคำให้การ โจทก์จำเลยได้ขอให้ศาลทำสัญญาประนีประนอมยอมความและพิพากษาตามยอมไป โดยจำเลยยังไม่ได้ยื่นคำให้การ สัญญายอมนั้นมีความว่า “จำเลยและบริวารยอมออกไปจากห้องพิพาทเลขที่ ๓๔ ของโจทก์ภายในกำหนด ๗ วัน…” เมื่อครบกำหนดนั้นแล้ว โจทก์ขอให้ศาลบังคับให้นายกวงผู้ร้อง ออกจากห้องโดยอ้างว่าเป็นบริวารของจำเลย นายกวงร้องว่าตนอยู่ในห้องเลขที่ ๓๕ โดยสิทธิการเช่าของตนเองและคำพิพากษาบังคับให้ออกจากห้องเลขที่ ๓๕ ไม่ได้ เป็นการบังคับนอกเหนือคำพิพากษา โจทก์คัดค้านว่าห้องเลขที่ ๓๔ ก็คือห้องเลขที่ ๓๕ นั่นเองแต่โจทก์ลงเลขที่ในคำฟ้องผิดไป ดังนั้นคำพิพากษาจึงบังคับผู้ร้องซึ่งเป็นบริวารจำเลยได้
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ผู้ร้องออกจากห้องเลขที่ ๓๕
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำขอของโจทก์ที่จะให้บังคับแก่ผู้ร้องเสีย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า ห้องพิพาทที่โจทก์กล่าวถึงในฟ้องว่าเป็นเลขที่๓๔ ก็คือห้องเลขที่ ๓๕ นั่นเอง จำเลยเป็นผู้เช่าห้องนี้ และผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลย และวินิจฉัยว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ โจทก์จึงขอให้บังคับคดีแก่ผู้ร้องได้ ไม่เป็นการบังคับคดีนอกเหนือไปจากคำพิพากษา
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น.