แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้คืนวันเกิดเหตุจะเป็นคืนข้างแรมเดือนมืด แต่โจทก์ร่วมก็รู้จักกับจำเลยมาตั้งแต่ยังเด็ก อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ประกอบกับจำเลยมีลักษณะพิเศษคือศีรษะมีผมขาวและรูปร่างล่ำไม่สูงขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมยืนยันว่าจำเลยยืนอยู่ที่มุมบ่อเลี้ยงปลาห่างจากโจทก์ร่วมเพียง 8 เมตร และไฟฉายที่ใช้ส่องไปยังจำเลยกับพวกเป็นไฟฉายขนาดถ่านไฟฉาย 3 ก้อน และถ่านที่ใช้ยังใหม่ โจทก์ร่วมสามารถเห็นจำเลยได้อย่างชัดเจนจากแสงไฟฉายที่ส่องกราดไปยังจำเลย นอกจากนี้คำเบิกความของโจทก์ร่วมก็ยังสอดคล้องกับคำเบิกความของพยานโจทก์และโจทก์ร่วม ซึ่งแม้ส่วนใหญ่จะเกี่ยวพันเป็นญาติใกล้ชิดกับโจทก์ร่วมก็ตามแต่ทั้งโจทก์ร่วมและพยานโจทก์คนอื่น ๆ ต่างก็รู้จักคุ้นเคยกับจำเลยมาก่อน และต่างก็ยืนยันว่าไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เชื่อว่าพยานดังกล่าวได้เบิกความไปตามความเป็นจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกลักปลาในบ่อเลี้ยงปลาของโจทก์ร่วมและใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมจริง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วม และร่วมกันพยายามชิงทรัพย์เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมรับอันตรายสาหัสโดยมีและใช้อาวุธปืน
ก่อนที่จะได้ยินเสียงทอดแหในบ่อเลี้ยงปลา โจทก์ร่วมซุ่มอยู่ที่โคนต้นขนุนมุมบ่อ เมื่อได้ยินเสียงทอดแหในบ่อเลี้ยงปลานั้นโจทก์ร่วมก็ยิงปืนขึ้นฟ้า 1 นัด เมื่อคนร้ายเพิ่งจะทอดแหในบ่อเลี้ยงปลาของโจทก์ร่วมเพียงครั้งเดียว และนอกจากปลาจำนวน 6 ตัว ซึ่งติดอยู่ในแหของคนร้ายที่จมอยู่ในบ่อเลี้ยงปลาแล้วจำเลยกับพวกยังไม่ได้ปลาอื่น ๆ ไปจากบ่อเลี้ยงปลาของโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสโดยมีและใช้อาวุธปืน มิใช่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 83, 288, 339, 340 ตรี, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบปลอกกระสุนปืนและแหของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานายปลีก กรผลึก ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80, 339 วรรคสี่ ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี, 371, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสโดยมีและใช้อาวุธปืน เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสโดยมีและใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 23 ปี ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุอันสมควรลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก4 เดือน รวมจำคุก 23 ปี 10 เดือน ริบปลอกกระสุนปืนและแหของกลาง
โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80, 83 และตามมาตรา 339 วรรคสี่ ประกอบด้วยมาตรา 80, 83, 340 ตรี เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80, 83 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 12 ปี มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม จำคุก 6 เดือน และมีความผิดตามมาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 7, 72 วรรคสอง กับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 เดือน รวมจำคุก 12 ปี10 เดือน ริบปลอกกระสุนปืนและแหของกลาง
โจทก์ร่วมและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นสมควรวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยก่อนว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุก 6 เดือน และ 4 เดือน ตามลำดับ ต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วม และร่วมกันพยายามชิงทรัพย์เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมรับอันตรายสาหัสโดยมีและใช้อาวุธปืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 หรือไม่ โจทก์มีโจทก์ร่วมซึ่งเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่าวันเกิดเหตุโจทก์ร่วมไปนอนเฝ้าปลาที่เพิงบ่อเลี้ยงปลาของโจทก์ร่วม จนกระทั่งเวลาประมาณ 21.30 นาฬิกา โจทก์ร่วมสงสัยว่าจะมีคนร้ายมาลักปลาจึงออกไปดูก็ได้ยินเสียงคนทอดแหในบ่อเลี้ยงปลาโจทก์ร่วมจึงใช้อาวุธปืนขนาด .22 ที่นำติดตัวไปยิงขึ้นฟ้า 1 นัด และใช้ไฟฉายส่องไปทั่ว ๆ บริเวณบ่อเลี้ยงปลา เห็นมีคนร้ายประมาณ 4 ถึง 5 คน โดยคนร้ายคนหนึ่งคือจำเลยซึ่งขณะนั้นยืนอยู่ที่มุมบ่อเลี้ยงปลาห่างจากโจทก์ร่วมประมาณ 8 เมตร โจทก์ร่วมได้ยิงปืนขึ้นฟ้าอีก 1 นัด เมื่อโจทก์ร่วมยิงปืนนัดที่สอง จำเลยได้ใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิงสวนไปทางโจทก์ร่วม 1 นัด กระสุนปืนถูกโจทก์ร่วมตามร่างกายหลายแห่งโจทก์ร่วมวิ่งหนีไปได้ประมาณ 10 เมตร ก็ล้มลง และมีคนมาช่วยนำโจทก์ร่วมไปรักษาบาดแผลที่โรงพยาบาลอ่างทองเวชชการ เห็นว่า แม้คืนวันเกิดเหตุจะเป็นคืนข้างแรมเดือนมืดก็ตามแต่โจทก์ร่วมก็รู้จักกับจำเลยมาตั้งแต่ยังเด็ก อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันประกอบกับจำเลยยังมีลักษณะพิเศษคือศีรษะมีผมขาวและรูปร่างล่ำไม่สูง ขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมยืนยันว่าจำเลยยืนอยู่ที่มุมบ่อเลี้ยงปลาห่างจากโจทก์ร่วมเพียง 8 เมตรเท่านั้น และไฟฉายที่ใช้ส่องไปยังจำเลยกับพวกเป็นไฟฉายขนาดถ่านไฟฉาย 3 ก้อนและถ่านที่ใช้ยังใหม่โจทก์ร่วมสามารถเห็นจำเลยได้อย่างชัดเจนจากแสงไฟฉายที่ส่องกราดไปยังจำเลย นอกจากนี้คำเบิกความของโจทก์ร่วมก็ยังสอดคล้องกับคำเบิกความของนายประทีบ ศรีวิเชียร นายผัน ศรีวิเชียร และนายเชื้อ ปั้นคำ ซึ่งเบิกความเป็นพยานโจทก์และโจทก์ร่วมในทำนองเดียวกันว่า ในทันทีภายหลังเกิดเหตุพยานทั้งสามได้ไปในที่เกิดเหตุพบโจทก์ร่วมถูกยิงได้รับบาดเจ็บนอนอยู่ เมื่อสอบถามถึงคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมก็ระบุชื่อคนร้ายว่า “เท้า” ซึ่งหมายถึงจำเลย และต่อมาเมื่อโจทก์ร่วมฟื้นขึ้นมาขณะที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอ่างทองเวชชการ โจทก์ร่วมก็ได้บอกแก่นายสมชาย กรผลึก กับนางทองคำ สมบุญนาค ซึ่งเป็นบุตรชายกับภริยาของโจทก์ร่วม และบอกแก่พันตำรวจโทวิรัตน์ ไวปัญญาพนักงานสอบสวนยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมในคืนวันเกิดเหตุพยานโจทก์และโจทก์ร่วมดังกล่าวแม้ส่วนใหญ่จะเกี่ยวพันเป็นญาติใกล้ชิดกับโจทก์ร่วมก็ตาม แต่ทั้งโจทก์ร่วมและพยานโจทก์คนอื่น ๆ ต่างก็รู้จักคุ้นเคยกับจำเลยมาก่อน อีกทั้งต่างก็ยืนยันว่าไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงเชื่อว่าพยานดังกล่าวได้เบิกความไปตามความเป็นจริง ไม่มีลักษณะของการกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลยแต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมจึงมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกลักปลาในบ่อเลี้ยงปลาของโจทก์ร่วมและใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมจริง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วม และร่วมกันพยายามชิงทรัพย์เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสโดยมีและใช้อาวุธปืนพยานหลักฐานของจำเลยที่นำสืบต่อสู้คดีโดยอ้างฐานที่อยู่นั้น ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า การกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ของจำเลยเป็นความผิดสำเร็จแล้วหรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมที่นำสืบไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าในการกระทำความผิดจำเลยกับพวกได้ปลาไปจากบ่อเลี้ยงปลาของโจทก์ร่วมหรือไม่ โจทก์ร่วมได้เบิกความว่าก่อนที่จะได้ยินเสียงทอดแหในบ่อเลี้ยงปลานั้น โจทก์ร่วมซุ่มอยู่ที่โคนต้นขนุนมุมบ่อ เมื่อได้ยินเสียงทอดแหในบ่อเลี้ยงปลานั้น โจทก์ร่วมก็ยิงปืนขึ้นฟ้า 1 นัด ฉะนั้นจึงน่าเชื่อว่าคนร้ายเพิ่งจะทอดแหในบ่อเลี้ยงปลาของโจทก์ร่วมเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และนอกจากปลาจำนวน 6 ตัว ซึ่งติดอยู่ในแหของคนร้ายที่จมอยู่ในบ่อเลี้ยงปลาแล้ว จำเลยกับพวกยังไม่ได้ปลาอื่น ๆ ไปจากบ่อเลี้ยงปลาของโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสโดยมีและใช้อาวุธปืน มิใช่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน