คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 93/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเป็นเพียงผู้รับฝากเฮโรอีนจาก ล. นำไปให้ ส. และ อ. การที่จะลงโทษจำเลยฐานจำหน่ายเฮโรอีนได้ก็ต่อเมื่อรับฟังได้ว่าจำเลยรู้ว่าห่อของที่นำไปให้ ส. และ อ. เป็นเฮโรอีนเท่านั้น แต่เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุม จำเลยยืนเฉย ๆ ไม่ได้วิ่งหนีไปไหน ทั้งปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง จึงเห็นได้ว่า หากจำเลยรู้ว่าห่อของที่จำเลยรับฝากเป็นเฮโรอีนแล้ว โดยสัญชาตญาณจำเลยคงวิ่งหนีไปไม่ยอมให้จับกุมการที่จำเลยมิได้หลบหนีจึงอาจเป็นไปได้ว่าจำเลยไม่รู้ว่าห่อของที่นำมาให้ ส. และ อ. เป็นเฮโรอีน ประกอบกับโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยได้เกี่ยวข้องเป็นผู้ร่วมจำหน่ายเฮโรอีนกับ ล. ด้วยหรือไม่ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยครอบครองและจำหน่ายเฮโรอีน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 4 หลอด น้ำหนัก 0.30 กรัม และมีกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 จำนวน 1 ถุง หนัก 1 กรัม ไว้ในครอบครอง และจำหน่ายเฮโรอีนจำนวน 2 หลอด น้ำหนัก 0.14 กรัม ให้แก่ผู้มีชื่อในราคา 200 บาท โดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมเฮโรอีนจำนวน 2 หลอด ที่เหลือจากการจำหน่ายให้แก่ผู้มีชื่อ และกัญชาจำนวน 1 ถุง เป็นของกลาง กัญชาของกลางหมดไปในการตรวจพิสูจน์ ก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 1 เดือน และปรับ 2,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 399/2537 ของศาลชั้นต้น ภายในระยะเวลาที่รอการลงโทษจำเลยกลับมากระทำความผิดเป็นคดีนี้อีกขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 26, 66, 67, 76, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 91 ริบเฮโรอีนของกลางและนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีดังกล่าวมาบวกเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง, 67, 26 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคหนึ่งเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานจำหน่ายเฮโรอีน จำคุก 5 ปี ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 2 ปี ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 2 เดือน รวมโทษจำคุก 7 ปี 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปี 9 เดือน 10 วัน บวกโทษจำคุก 1 เดือนในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 399/2537 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 รวมจำคุก 4 ปี 10 เดือน 10 วัน ริบเฮโรอีนของกลาง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง แต่เฮโรอีนของกลางให้ริบ

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า วันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจไปแอบซุ่มเห็นจำเลยส่งมอบเฮโรอีนให้แก่นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์ที่บริเวณเกิดเหตุจึงเข้าจับกุมจำเลย นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์นำส่งพนักงานสอบสวน โดยเฉพาะเกี่ยวกับจำเลยนั้น เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมส่งมอบพร้อมเฮโรอีนจำนวน 2 หลอดและกัญชาจำนวน 1 ถุง ตามบันทึกการตรวจค้นและจับกุมเอกสารหมาย จ.1 กล่าวหาเป็นคดีนี้ ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ

มีปัญหาต้องวินิจฉัยชั้นนี้ว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น หรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีร้อยตำรวจตรีวิชา และร้อยตำรวจตรีประดิษฐ์มาเบิกความเป็นพยานว่า ไปแอบซุ่มเห็นจำเลยส่งสิ่งของให้นายสุริยะ และนายอนุสรณ์ศักดิ์ จึงเข้าจับกุมค้นได้เฮโรอีนและกัญชาของกลางจากกระเป๋ากางเกงของจำเลย โดยโจทก์ยังมีนายสุริยะมาเบิกความอีกว่า นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์มาขอซื้อเฮโรอีนจากจำเลยเมื่อจำเลยเดินไปหลังบ้านกลับมาแล้วก็ได้เอาเฮโรอีนยื่นให้นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์คนละหลอด เป็นการเบิกความสอดคล้องต้องกันรับฟังได้ ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องนั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะมีร้อยตำรวจตรีวิชา ร้อยตำรวจตรีประดิษฐ์และนายสุริยะมาเบิกความเป็นพยานถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวก็ตาม แต่จำเลยได้นำสืบต่อสู้ว่าเฮโรอีนที่จำเลยส่งมอบให้แก่นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์นั้นนางเล็กเจ้าของร้านค้าของชำฝากมาให้ จำเลยไม่รู้ว่าเป็นเฮโรอีนและเจ้าพนักงานตำรวจมิได้ค้นตัวจำเลยทั้งกัญชาก็มิได้เป็นของจำเลยด้วย ซึ่งเมื่อพิจารณาคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามปากดังกล่าวแล้วก็แตกต่างขัดกันมีเหตุน่าสงสัยเป็นพิรุธ โดยในเบื้องต้นนายสุริยะเบิกความว่า นายอนุสรณ์ศักดิ์เคยพานายสุริยะไปซื้อเฮโรอีนจากจำเลยมาก่อน 2 ถึง 3 ครั้งแล้ว และที่รู้จักจำเลยก็ด้วยนายอนุสรณ์ศักดิ์เป็นคนพาไปพบจำเลยก่อนเกิดเหตุคดีนี้ 1 สัปดาห์ อันแสดงว่านายสุริยะไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน ที่รู้จักก็โดยการชักนำของนายอนุสรณ์ศักดิ์ แต่ตามคำให้การของนายอนุสรณ์ศักดิ์ในชั้นสอบสวนเอกสารหมาย ป.จ. 1 กลับได้ความว่า นายอนุสรณ์ศักดิ์เพิ่งรู้จักจำเลยเป็นครั้งแรกในวันเกิดเหตุและรู้จักชื่อจำเลยภายหลังที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมแล้ว ดังนั้นเมื่อนายอนุสรณ์ศักดิ์ก็เพิ่งรู้จักจำเลยในวันเกิดเหตุจึงเป็นไปไม่ได้ที่นายอนุสรณ์ศักดิ์จะเป็นผู้พานายสุริยะไปขอซื้อเฮโรอีนจากจำเลยก่อนคดีนี้มา 2 ถึง 3 ครั้งแล้วเช่นกันการที่นายสุริยะเบิกความว่ารู้จักจำเลยก่อนเกิดเหตุคดีนี้ 1 สัปดาห์โดยนายอนุสรณ์ศักดิ์เป็นคนพาไปพบจำเลยนั้น จึงไม่มีน้ำหนักที่จะให้รับฟังได้เช่นนั้น ประกอบกับที่นายสุริยะเบิกความตอบทนายความจำเลยถามค้านว่า ที่เคยไปซื้อเฮโรอีน 2 ถึง 3 ครั้งนั้นไปซื้อกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ร้านค้าของชำอยู่บริเวณหน้าบ้านจำเลยด้วยเช่นนี้จึงเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้เห็นว่า นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์ไม่เคยรู้จักกับจำเลยมาก่อนซึ่งเจือสมกับคำเบิกความของจำเลย นอกจากนี้นายสุริยะได้เบิกความตอบทนายความจำเลยถามค้านอีกว่า ในวันเกิดเหตุไปติดต่อขอซื้อเฮโรอีนที่ร้านค้าของชำผู้หญิงที่เคยขอซื้อบอกให้เลี้ยวไปรอในซอยเดี๋ยวจะมีคนเอามาให้ ได้ไปรอประมาณครึ่งชั่วโมง จำเลยก็ถือเฮโรอีนมาให้จำนวน 2 หลอด บอกว่ามีคนฝากมาให้ พอดีเจ้าพนักงานตำรวจเข้ามาจับกุมก็ยิ่งทำให้เห็นว่า จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นเพียงผู้รับฝากนำเฮโรอีนมามอบให้แก่นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์เท่านั้น นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์มิได้มาติดต่อขอซื้อเฮโรอีนจากจำเลย อันเป็นการเจือสมกับคำเบิกความของจำเลยที่ว่า นางเล็กเจ้าของร้านค้าของชำฝากมาให้นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์ซึ่งจำเลยไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่การที่จำเลยนำเฮโรอีนไปมอบให้นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์นั้นจะถือว่าเป็นการจำหน่ายเฮโรอีนโดยการแบ่งงานกันทำกับนางเล็กเจ้าของร้านค้าของชำที่จะลงโทษจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนได้ตามที่โจทก์ฎีกาหรือไม่นั้น เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นเพียงผู้รับฝากเฮโรอีนจากนางเล็กนำไปให้นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์เท่านั้นดังที่วินิจฉัยมาแล้วดังนั้นการที่จะรับฟังลงโทษจำเลยฐานจำหน่ายเฮโรอีนได้ก็ต่อเมื่อรับฟังได้ว่าจำเลยได้รู้ว่าห่อของที่นำไปให้นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์เป็นเฮโรอีนเท่านั้น แต่จำเลยจะรู้ว่าเป็นเฮโรอีนหรือไม่นั้น เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของจำเลยตามคำเบิกความของนายสุริยะที่ว่า เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุม จำเลยยืนเฉย ๆ ไม่ได้วิ่งหนีไปไหนเจ้าพนักงานตำรวจสอบถามจำเลยก็ตอบปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง จึงเห็นได้ว่า หากจำเลยรู้ว่าห่อของที่จำเลยรับฝากจากนางเล็กนำมาให้นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์เป็นเฮโรอีนแล้ว โดยสัญชาตญาณจำเลยคงจะวิ่งหนีไปไม่ยอมให้จับกุม การที่จำเลยมิได้หลบหนีจึงอาจเป็นไปได้ว่าจำเลยไม่รู้ว่าห่อของที่นำมาให้นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์เป็นเฮโรอีน ประกอบกับโจทก์ก็มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยได้เกี่ยวข้องเป็นผู้ร่วมจำหน่ายเฮโรอีนกับนางเล็กด้วยหรือไม่ อย่างไร พฤติการณ์จึงน่าเชื่อว่าจำเลยคงจะไม่ทราบว่าเป็นห่อเฮโรอีน ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าเจ้าพนักงานตำรวจค้นเฮโรอีนได้จากจำเลยจำนวน 2 หลอด และกัญชาจำนวน 1 ถุง นั้น นายสุริยะพยานโจทก์ก็มิได้เบิกความถึงว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้ค้นตัวจำเลยแต่อย่างใด คงเบิกความตอบโจทก์ว่าเจ้าพนักงานตำรวจค้นตัวนายอนุสรณ์ศักดิ์ได้เฮโรอีนจำนวน 2 หลอด และยึดกัญชาวางอยู่ที่เขียงใกล้ ๆ บริเวณป่ากล้วยไว้ โดยตอบทนายความจำเลยถามค้านว่า จำเลยปฏิเสธว่ากัญชาไม่ใช่ของจำเลยเช่นกัน อันแสดงว่าจำเลยได้ให้การปฏิเสธว่าเจ้าพนักงานตำรวจมิได้ตรวจค้นได้เฮโรอีนและกัญชาจากจำเลย ทั้งนำสืบปฏิเสธความถูกต้องของบันทึกการตรวจค้นและจับกุมที่บันทึกไว้ว่าจำเลยรับสารภาพตามข้อกล่าวหาตามบันทึกการตรวจค้นและจับกุมเอกสารหมาย จ.1 ด้วย ประกอบกับเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจควบคุมจำเลยส่งมอบให้แก่พนักงานสอบสวน จำเลยก็ให้การปฏิเสธด้วยเช่นนี้ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”

พิพากษายืน

Share