แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในกรณีที่ผู้ใดถูกฟ้องหาว่าได้เบิกความเท็จไว้ในคดีใดที่ศาล แม้ในที่สุดศาลจะได้ยอมรับฟังเป็นยุติไว้ในคดีนั้นโดยเชื่อตามที่ผู้นั้นได้เบิกความไว้ กรณีก็ไม่เป็นการผูกมัดในคดีใหม่นี้ว่าข้อความที่ผู้นั้นเบิกความไว้ครั้งนั้นจะต้องถือเอาเป็นยุติว่าเป็นความจริงเพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว หากเผอิญศาลรับฟังคำเบิกความของผู้ใดไว้เป็นยุติในคดีใด ผู้นั้นก็ไม่อาจจะมีโทษฐานเบิกความเท็จได้เลย ทั้งๆที่ความจริงของคำเบิกความนั้นได้เป็นเท็จ และสามารถพิสูจน์ให้เห็นชัดได้ในคดีที่ถูกฟ้องในชั้นหลังนี้ คำชี้ขาดของศาลในคดีที่พยานเบิกความไว้เป็นคำชี้ขาดที่ยุติระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนั้นเท่านั้น หาใช่เป็นการยุติระหว่างโจทก์ในคดีนั้นกับตัวพยานที่เบิกความเท็จในคดีนั้นด้วยไม่ แม้ว่าในคดีนี้ จำเลยที่ถูกฟ้องหาว่าเบิกความเท็จนั้นได้เป็นตัวจำเลยอยู่ในคดีเดิมที่มีการเบิกความดังกล่าวนั้นเอง แต่จำเลยได้เข้าเบิกความในคดีนั้นในฐานะพยาน ซึ่งเป็นอีกฐานะหนึ่งต่างหากจากการเป็นตัวจำเลย เมื่อจำเลยถูกฟ้องหาว่าเบิกความเท็จ ก็จะยกเอาข้อยุติในฐานะเป็นจำเลยของคดีนั้นมาใช้บังคับด้วยหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเป็น 4 สำนวน และเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ได้สาบานปฏิญาณตนต่อศาลแล้วได้เข้าเบิกความเท็จในข้อสำคัญของคดีอาญาแดงที่ 167/2507 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธข้อหาและจำเลยในคดีอาญาดำที่ 1/2509ให้การปฏิเสธว่า ไม่ได้ชื่อนายโผซีดังที่เรียกในฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงเชื่อว่า จำเลยเบิกความเท็จในข้อสำคัญของคดีจริงดังฟ้อง พิพากษาว่าจำเลยทุกคนมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ให้วางโทษจำคุกคนละ 4 เดือนแต่นางซุ่ยโหหรือซูหัว แซ่ซิ้ว หรือเตียวสกุล นายหมาด ปาละวัน นายบาโรม ยีอา เป็นคนชรามากแล้ว ไม่เคยกระทำผิดมาก่อนให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามคนไว้ตามมาตรา 56 ภายใน 2 ปี
จำเลยทั้งสี่คนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาเห็นว่า ในคดีแดงที่ 167/2507 ที่หาว่าจำเลยได้เข้าเบิกความเท็จไว้ในคดีนั้น ศาลได้ฟังเป็นยุติไว้ในคดีนั้นแล้วว่า นายฮกซุ่ย หรือศักดิ์ เตียวสกุล นี้เป็นคนเกิดในประเทศไทย ไม่ใช่คนต่างด้าว เมื่อข้อเท็จจริงยุติว่าเป็นดังนั้นในคดีนี้จึงไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยในคดีนี้ได้เบิกความไว้ในคดีนั้นเป็นความเท็จดังที่ฟ้อง จำเลยจึงยังไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยทั้งสี่คนไป
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษามา
สำหรับคดีอาญาดำที่ 2/2509 ซึ่งนายหมาด ปาละวัน เป็นจำเลยจำเลยถึงแก่กรรมเสียก่อน คดีจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 39
ศาลฎีกาเห็นว่า ในกรณีที่ผู้ใดถูกฟ้องหาว่าได้เบิกความเท็จไว้ในคดีใดที่ศาลแม้ในที่สุดศาลจะได้ยอมรับฟังเป็นยุติไว้ในคดีนั้นโดยเชื่อตามที่ผู้นั้นได้เบิกความไว้ กรณีก็ไม่เป็นการผูกมัดในคดีใหม่นี้ว่าข้อความที่ผู้นั้นเบิกความไว้ครั้งนั้น จะต้องถือเอาเป็นยุติว่าเป็นความจริง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว หากเผอิญศาลรับฟังคำเบิกความของผู้ใดไว้เป็นยุติในคดีใด ผู้นั้นก็ไม่อาจจะมีโทษฐานเบิกความเท็จได้เลยทั้ง ๆ ที่ความจริงของคำเบิกความนั้นได้เป็นเท็จและสามารถพิสูจน์ให้เห็นชัดได้ในคดีที่ถูกฟ้องในชั้นหลังนี้ คำชี้ขาดของศาลในคดีที่พยานเบิกความไว้ เป็นคำชี้ขาดที่ยุติระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนั้นเท่านั้น หาใช่เป็นการยุติระหว่างโจทก์ในคดีนั้นกับตัวพยานที่เบิกความเท็จในคดีนั้นด้วยไม่แม้ว่าในคดีทั้งสี่เรื่องนี้มีอยู่คนหนึ่งคือนายฮกซุ่ยหรือศักดิ์ เตียวสกุล จำเลยที่ถูกฟ้องหาว่าเบิกความเท็จนั้นได้เป็นตัวจำเลยอยู่ในคดีเดิมที่มีการเบิกความดังกล่าวนั้นเอง แต่ตัวนายฮกซุ่ยหรือศักดิ์ได้เข้าเบิกความในคดีนั้นในฐานะพยานซึ่งเป็นอีกฐานะหนึ่งต่างหากจากการเป็นตัวจำเลย เมื่อนายฮกซุ่ยหรือศักดิ์ถูกฟ้องหาว่าเบิกความเท็จ ก็จะยกเอาข้อยุติในฐานะเป็นจำเลยของคดีนั้นมาใช้บังคับด้วยหาได้ไม่และเห็นว่าศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงต่อไปว่า ข้อความที่จำเลยเบิกความไว้นั้นได้เป็นเท็จในข้อสำคัญหรือไม่ปราการใด จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาใหม่ในปัญหาข้อเท็จจริงโดยนัยที่กล่าวนี้ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ