แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้กรมธรรม์ประกันภัยจะกำหนดเงื่อนไขกรณีเกิดเหตุความรับผิดให้โจทก์ผู้เอาประกันภัยแจ้งคำบอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังผู้ขนส่งภายใน 3 วัน นับแต่วันรับมอบสินค้า แต่การที่โจทก์แจ้งเรื่องสินค้าสูญหายล่าช้าไปหลายเดือนก็เนื่องมาจากกระบวนการตรวจสอบว่าสินค้าได้สูญหายไปจริงหรือไม่ เมื่อตรวจสอบว่าสินค้าได้สูญหายไปจริงโจทก์ก็ได้แจ้งให้ผู้ขนส่งและจำเลยผู้รับประกันภัยทราบทันที ซึ่งจำเลยก็ไม่เคยปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างเหตุที่โจทก์ไม่ได้แจ้งความเสียหายให้ทราบภายในกำหนดแต่อย่างใด จำเลยคงปฏิเสธไม่จ่ายค่าสินค้าสูญหายโดยอ้างเหตุเพียงว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานว่าสินค้าสูญหาย กับจำเลยไม่สามารถรับช่วงสิทธิจากผู้ทำละเมิดได้เท่านั้น จากพฤติการณ์ดังกล่าว แสดงว่าจำเลยมิได้ถือเอาข้อกำหนดเงื่อนไขตามสัญญาประกันภัยดังกล่าวเป็นข้อสาระสำคัญให้โจทก์ปฏิบัติตาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 2,585,330.04 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,404,958.19 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า กรมธรรม์ประกันภัยระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทน โจทก์จะต้องดำเนินการให้จำเลยได้เข้ารับช่วงสิทธิของโจทก์ที่จะเรียกร้องให้บุคคลที่ทำสินค้าสูญหายหรือเสียหายชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลย กล่าวคือ โจทก์ต้องดำเนินการบำบัดปัดป้องหรือลดความเสียหาย และกระทำการใด ๆ เพื่อรักษาสิทธิทั้งปวงที่โจทก์มีอยู่กับผู้ขนส่ง หรือท่าเรือ หรือผู้รับฝากสินค้าโดยแจ้งเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเป็นลายลักษณ์อักษรแก่ผู้ขนส่งหรือผู้รับฝากสินค้าภายใน 3 วัน นับแต่วันรับมอบสินค้า แต่โจทก์กลับละเลยไม่ดำเนินการจนกระทั่งคดีขาดอายุความที่จะเรียกร้องค่าเสียหาย ทำให้จำเลยไม่สามารถรับช่วงสิทธิจากโจทก์ที่จะเรียกร้องให้ผู้ขนส่งหรือท่าเรือรับผิดต่อจำเลย ถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประกันภัยในข้อสาระสำคัญ จำเลยจึงไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นการตอบแทน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 2,404,958.19 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2536 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 15,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้รับประกันภัยการขนส่งอุปกรณ์ส่วนประกอบเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ซึ่งโจทก์สั่งซื้อจากประเทศญี่ปุ่น ตามกรมธรรม์ประกันภัยให้ความคุ้มครองตั้งแต่สินค้าได้บรรทุกลงเรือที่ท่าเรือโกเบจนถึงปลายทางที่โครงการของโจทก์อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น เมื่อสินค้ามาถึงโครงการของโจทก์ คณะกรรมการตรวจรับสินค้าพบว่าสินค้าหายไป 1 หีบห่อ
ปัญหาต้องวินิจฉัยมีว่า โจทก์มีส่วนผิดสัญญาประกันภัยหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้เรียกร้องจากผู้ขนส่งในทันที ในกรณีที่หีบห่อหายไป และมิได้ยื่นคำขอให้ผู้แทนผู้ขนส่งทำการสำรวจทันทีโดยแจ้งคำบอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังผู้ขนส่งภายใน 3 วัน นับแต่วันรับมอบสินค้า ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า โจทก์แจ้งเรื่องสินค้าสูญหายล่าช้าไปหลายเดือน ก็ได้ความว่าเกิดขึ้นเนื่องจากกระบวนการตรวจสอบว่าสินค้าได้สูญหายไปจริงหรือไม่ เมื่อตรวจสอบว่าสินค้าได้สูญหายไปจริงโจทก์ก็ได้แจ้งให้ผู้ขนส่งและจำเลยทราบทันทีโดยนายกาญจนา พยานโจทก์เบิกความยืนยันว่า เมื่อโจทก์พบว่าหีบห่อสินค้าสูญหายไป ก็ได้แจ้งเรียกร้องค่าเสียหายไปยังจำเลยและผู้ขนส่ง จำเลยอ้างเพียงว่าไม่มีหลักฐานสินค้าสูญหายเท่านั้น นอกจากนี้พยานโจทก์ก็เบิกความตอบทนายโจทก์ถามติงว่า จำเลยไม่เคยปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างเหตุที่โจทก์ไม่ได้แจ้งความเสียหายให้ทราบภายในกำหนด ข้อนี้นางพิไล อดีตหัวหน้าสินไหมภัยทางทะเลของจำเลย มีหน้าที่พิจารณาจ่ายค่าสินไหมให้แก่ผู้เอาประกันภัยก็เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า เหตุที่จำเลยไม่จ่ายค่าสินค้าสูญหาย เพราะโจทก์ไม่มีหลักฐานว่าสินค้าสูญหาย กับจำเลยไม่สามารถรับช่วงสิทธิจากผู้ทำละเมิดได้ จากพฤติการณ์ดังกล่าว แสดงว่าจำเลยมิได้ถือเอาข้อกำหนดเงื่อนไขตามสัญญาประกันภัยดังกล่าวเป็นข้อสาระสำคัญให้โจทก์ปฏิบัติตามข้อกำหนดเงื่อนไขดังกล่าว จึงรับฟังได้ว่าโจทก์ไม่มีส่วนผิดตามสัญญาประกันภัย
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 8,000 บาท แทนโจทก์.