คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6007/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่เช่าซื้อยังอยู่กับผู้ให้เช่าซื้อ แต่ผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์จากรถยนต์ที่เช่าซื้อนั้นและมีหน้าที่ต้องส่งคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อในสภาพเรียบร้อยแก่ผู้ให้เช่าซื้อหากมีกรณีต้องคืน เมื่อบุตรโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อถึงแก่กรรม สิทธิและหน้าที่ดังกล่าวย่อมตก ทอดมายังโจทก์ในฐานะทายาทคนหนึ่ง เมื่อจำเลยได้ยักยอกทรัพย์นั้นไปจากโจทก์ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหาย จึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้อง ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์มอบรถยนต์คันพิพาทให้จำเลยซ่อมเป็นเวลานานถึง 8 เดือนเศษ จำเลยไม่ได้แจ้งราคาค่าซ่อมให้โจทก์ทราบโจทก์น่าจะทราบได้ในขณะนั้นหรือช่วงเวลานั้นแล้วว่าจำเลยเบียดบังเอารถยนต์คันพิพาทเป็นของตนเอง โจทก์นำคดีมาฟ้องเกินระยะเวลา 3 เดือนพ้นกำหนดอายุความ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 354
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว คดีมีมูล ประทับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา352 จำคุก 3 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 3 เดือน คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยคงฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเป็นยุติแล้วว่ารถยนต์คันพิพาทเป็นของบริษัทสยามกลการ จำกัด และอยู่ในระหว่างที่นายปกรณ์ อิทธิวรกิจ บุตรโจทก์เช่าซื้อไป ต่อมาเมื่อเดือนมีนาคม2526 นายปกรณ์ขับรถยนต์คันดังกล่าวประสบอุบัติเหตุ เป็นเหตุให้นายปกรณ์เสียชีวิตและรถยนต์เสียหาย โจทก์ซึ่งเป็นผู้ครอบครองรถยนต์ดังกล่าวแทนผู้ตาย ได้ตกลงมอบรถยนต์นั้นให้จำเลยไปซ่อมหลังจากนั้นจำเลยก็ไม่มาติดต่อกับโจทก์อีกเลย ต่อมาวันที่ 2 เมษายน 2527โจทก์ติดต่อกับจำเลยได้ และขอให้จำเลยคิดค่าซ่อมและส่งรถคืนจำเลยไม่ยอม กลับอ้างว่าได้ซื้อรถยนต์คันพิพาทไปจากโจทก์แล้วโจทก์จึงทราบว่าจำเลยเบียดบังรถยนต์คันดังกล่าวไปในวันนั้น
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์คันพิพาทจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงได้ความว่า รถยนต์คันพิพาทบุตรโจทก์เช่าซื้อมาจากบริษัทสยามกลการจำกัด แม้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์นั้นยังอยู่กับผู้ให้เช่าซื้อ แต่ผู้เช่าซื้อมีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์จากรถยนต์ที่เช่าซื้อนั้นและมีหน้าที่ต้องส่งคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อในสภาพเรียบร้อยแก่ผู้ให้เช่าซื้อหากมีกรณีต้องคืน เมื่อบุตรโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อถึงแก่กรรม สิทธิและหน้าที่ดังกล่าวย่อมตกทอดมายังโจทก์ในฐานะทายาทคนหนึ่ง เมื่อจำเลยได้ยักยอกทาัพย์นั้นไปจากโจทก์ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหาย จึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้
ที่จำเลยฎีกาเรื่องอายุความว่า โจทก์มอบรถยนต์คันพิพาทให้จำเลยซ่อมเป็นเวลานานถึง 8 เดือนเศษ จำเลยไม่ได้แจ้งราคาค่าซ่อมให้โจทก์ทราบ โจทก์น่าจะทราบได้ในขณะนั้นหรือช่วงเวลานั้นแล้วว่าจำเลยเบียดบังเอารถยนต์คันพิพาทเป็นของตนเอง โจทก์นำคดีมาฟ้องเกินระยะเวลา 3เกินระยะเวลา 3 เดือน นับแต่วันที่โจทก์ได้รู้การกระทำความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดนั้น เห็นว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ดังกล่าวข้างต้นศาลฎีกาไม่วินิจฉัย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานยักยอกชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 โดยไม่ได้ระบุวรรคนั้น เห็นสมควรระบุวรรคเสียให้ถูกต้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคแรก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share