คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3206/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ข้อความในบทนิยามคำว่า “ลูกจ้าง” ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน และเรื่อง การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำที่ว่า “ไม่รวมถึงลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานบ้าน” เป็นข้อยกเว้นต้องตีความโดยเคร่งครัดหมายถึงลูกจ้างที่ทำงานเฉพาะที่เป็นงานบ้านอย่างเดียวเท่านั้น โดยจะต้องมิได้มีลักษณะการประกอบธุรกิจอื่นใดรวมอยู่ด้วย เมื่อจำเลยเป็นบริษัทจำกัดประกอบกิจการรับทำกรอบรูปส่งขายต่างประเทศ มีลูกจ้างประมาณ 100คน โดยมี ล. เป็นผู้จัดการโรงงานของจำเลย จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างตำแหน่งแม่บ้านมีหน้าที่ซักรีด และทำความสะอาดในบ้านพักของ ล. ซึ่งสภาพงานที่ทำแม้จะเป็นงานบ้านก็ตาม แต่จำเลยได้จัดเป็นสวัสดิการให้แก่ ล. งานบ้านที่โจทก์ทำดังกล่าวจึงมีลักษณะการประกอบธุรกิจของจำเลยรวมอยู่ด้วย กรณีเช่นนี้ถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานบ้านตามประกาศกระทรวงมหาดไทยข้างต้น โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยค่าจ้างที่ขาดหายไป รวมทั้งดอกเบี้ยและเงินเพิ่มได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2531 จำเลยได้จ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ครั้งสุดท้ายทำหน้าที่ในตำแหน่งแม่บ้าน อัตราค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ 1,800 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือนต่อมาเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2533 จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์ทราบและโดยที่โจทก์ไม่ได้กระทำผิดสาเหตุเพราะโจทก์ได้ไปร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่แรงงานทำให้จำเลยไม่พอใจ จึงเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ระหว่างที่โจทก์ทำงานกับจำเลย จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ รวมเป็นเงินที่จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดทั้งสิ้น 14,790 บาท ถือว่าจำเลยจงใจผิดนัดซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างจำนวนดังกล่าวพร้อมเงินเพิ่มและดอกเบี้ย รวมทั้งค่าเสียหาย สินจ้างแทนการบอกกล่างล่วงหน้า ค่าชดเชย จึงขอให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 2,340 บาท ค่าชดเชย7,020 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 7,020 บาทค่าจ้างที่จ่ายขาดไปอีก 14,790 บาท กับเงินเพิ่มร้อยละ 15 ของค่าจ้างที่จ่ายขาดทุกระยะ 7 วัน นับแต่วันที่พ้นกำหนดจ่าย 7 วันให้แก่โจทก์ และดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีของค่าจ้างที่จ่ายขาดไปนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้จ้างโจทก์เป็นลูกจ้าง ผู้ที่จ้างโจทก์ คือ นายสิน ไช่หยุ่น ซึ่งได้จ้างโจทก์ทำงานตำแหน่งแม่บ้านนายสินไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ แต่โจทก์ได้ขาดงานไปเอง นายสินได้จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์เป็นลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานบ้านไม่ได้รับการคุ้มครองแรงงานตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าจ้างที่จ่ายต่ำกว่ากฎหมายกำหนดและเงินเพิ่มตามฟ้อง โจทก์ขาดงานไปเป็นเวลา 5 วันติดต่อกันโดยไม่ได้บอกกล่าวต่อนายสิน จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ค่าเสียหาย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นพิพาทข้อ 2 ว่า โจทก์ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันควรหรือไม่ แต่ประเด็นข้อนี้ศาลแรงงานกลางได้มีคำสั่งยกเลิกก่อนมีการสืบพยาน
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 1,800 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมอีก 2,500 บาท ส่วนคำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลแรงงานกลางฟังเป็นยุติว่า จำเลยเป็นบริษัทจำกัด ประกอบกิจการรับทำกรอบรูปส่งขายต่างประเทศ มีลูกจ้างประมาณ 100 คน นายสินเป็นผู้จัดการโรงงานของจำเลย และจำเลยได้จ่ายค้างจ้างให้โจทก์ต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำจริงตามฟ้องโจทก์ ในชั้นนี้เห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์และอุทธรณ์จำเลยไปตามลำดับ
โจทก์อุทธรณ์ว่า ลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานบ้าน หมายถึงเฉพาะคนรับใช้ตามบ้านทั่วไป ซึ่งมิได้มีธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยโจทก์จำเลยผูกพันกันตามกฎหมายแรงงาน โจทก์จึงมิใช่ลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานบ้านตามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 2 ในประกาศนี้ “ลูกจ้าง” หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้แก่นายจ้างเพื่อรับค่าจ้าง ไม่ว่าจะเป็นผู้รับค่าจ้างด้วยตนเองหรือไม่ก็ตาม…แต่ไม่รวมถึงลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานบ้าน ส่วนตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ ลงวันที่ 10 เมษายน 2515 ข้อ 2 ในประกาศนี้”ลูกจ้าง” หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้แก่นายจ้างเพื่อรับค่าจ้างแต่ไม่รวมถึงลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานบ้าน จากนิยามนี้ความหมายเบื้องต้นของลูกจ้าง คือ ผู้ที่ตกลงทำงานให้แก่นายจ้างเพื่อรับค่าจ้าง แต่ไม่รวมถึงลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานบ้าน สำหรับงานบ้านนั้นซึ่งโดยปกติทั่วไปก็ดูจาดสภาพของงาน คือเป็นงานเกี่ยวกับการดูแลทำความสะอาดบ้านอยู่อาศัย เช่น ทำครัว ซักผ้า รีดผ้าเป็นต้น แต่ข้อความที่ว่า “ไม่รวมถึงลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานบ้าน” นี้เป็นข้อยกเว้น ต้องตีความโดยเคร่งครัด จึงหมายถึงลูกจ้างที่ทำงานเฉพาะที่เป็นงานบ้านอย่างเดียวเท่านั้นโดยที่งานบ้านนั้นจะต้องมิได้มีลักษณะการประกอบธุรกิจอื่นใดรวมอยู่ด้วย แต่คดีนี้ได้ความตามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมาแล้วว่า จำเลยเป็นบริษัทจำกัด ประกอบกิจการรับทำกรอบรูปส่งขายต่างประเทศ มีลูกจ้างประมาณ 100 คน และนายลินเป็นผู้จัดการโรงงานของจำเลย จำเลยได้จ้างโจทก์เป็นลูกจ้างในตำแหน่งแม่บ้าน มีหน้าที่ซักรีด ทำอาหารและทำความสะอาดในบ้านพักของนายลิน ดังนี้ แม้สภาพงานที่โจทก์ทำจะเป็นงานบ้านก็ตาม แต่งานบ้านดังกล่าวได้จัดเป็นสวัสดิการให้แก่นายลินซึ่งเป็นผู้จัดการโรงงานของจำเลยเอง งานบ้านที่โจทก์ทำดังกล่าวจึงมีลักษณะการประกอบธุรกิจของจำเลยรวมอยู่ด้วย กรณีเช่นนี้ถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานบ้านตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน และเรื่องการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ ฉะนั้นโจทก์จึงได้รับความคุ้มครองตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน และเรื่องการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยค่าจ้างที่จ่ายขาดไปรวมทั้งดอกเบี้ยและเงินเพิ่มตามฟ้อง แต่ปรากฏว่าศาลแรงงานกลางยังไม่ได้วินิจฉัยว่าจำเลยจะต้องรับผิดจ่ายให้โจทก์หรือไม่เพียงใด มีเหตุอันสมควรที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้น
ส่วนจำเลยอุทธรณ์ตามข้อ (ค) ว่า จำเลยไม่เห็นด้วยที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ยกเลิกประเด็นข้อพิพาทข้อ 2 นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ศาลแรงงานกลางได้มีคำสั่งยกเลิกประเด็นข้อพิพาทข้อดังกล่าว ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 23 มีนาคม 2533 ก่อนที่จะมีการสืบพยาน และก่อนมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี โดยเมื่อศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไปแล้วยังมีกระบวนพิจารณาที่จะต้องดำเนินต่อไปอีก และคำสั่งดังกล่าวไม่ใช่คำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 และ 228 คำสั่งของศาลแรงงานกลางเช่นนี้จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวไว้ จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
จำเลยอุทธรณ์ตามข้อ (ง) ว่า โจทก์เป็นลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานบ้านโจทก์จึงไม่ได้รับความคุ้มครอบตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ศาลแรงงานกลางกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 จึงเป็นการไม่ชอบนั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ศาลฎีกาได้วินิจฉัยมาในตอนต้นแล้วว่าโจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานบ้านและโจตทก์ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49ก็เป็นกฎหมายที่มุ่งหมายจะให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างอันถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เช่นนี้ โจทก์จึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 อยู่แล้ว ฉะนั้นอุทธรณ์จำเลยข้อนี้จึงไม่มีประโยชน์ที่จะต้องวินิจฉัยต่อไป”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลแรงงานกลางในประเด็นค่าชดเชยค่าจ้างที่จ่ายขาดไป ดอกเบี้ย และเงินเพิ่ม ให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาคดีใหม่เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับค่าชดเชย ค่าจ้างที่จ่ายขาดไป ดอกเบี้ย และเงินเพิ่ม แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.

Share