แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว โดยอ้างว่าไม่มีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 มิได้มอบอำนาจให้มารดาดำเนินคดีแทนทั้งมารดาจำเลยที่ 1ก็ไม่เคยตั้งทนายความให้ดำเนินคดีแต่ประการใด ดังนี้ หากข้อเท็จจริงเป็นดังคำร้องของจำเลยที่ 1 กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นย่อมเป็นการไม่ชอบเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นหลงผิด มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 แพ้คดี จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27วรรคแรก กรณีไม่ต้องห้ามตาม มาตรา 27 วรรคสอง เพราะจำเลยที่ 1เพิ่งทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างของการผิดระเบียบนั้นภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้สมคบกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ในคดีหมายเลขแดงที่ 69/2529 ของศาลชั้นต้นขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความตามฟ้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นคัดค้านคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองว่าไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริงขอให้ศาลไต่สวนข้อเท็จจริงตามคำร้อง และมีคำสั่งเรียกให้จำเลยที่ 1เข้าต่อสู้คดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หากข้อเท็จจริงเป็นดังคำร้องของจำเลยที่ 1 กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นย่อมเป็นการไม่ชอบ เพราะเท่ากับไม่มีการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อแก้คดีตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 บัญญัติไว้และการที่จำเลยที่ 1 มิได้มอบอำนาจให้นางเรณูดำเนินคดีแทนทั้งนางเรณูมิได้ตั้งนายเมธาให้เป็นทนายความของจำเลยที่ 1แต่นายเมธาได้ยื่นคำให้การและดำเนินกระบวนพิจารณาในฐานะทนายความของจำเลยที่ 1 ตลอดมาเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นหลงผิดดำเนินกระบวนพิจารณาไปจนกระทั่งได้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 แพ้คดีนั้นหากจำเลยที่ 1 ต้องผูกพันที่จะถูกบังคับตามคำพิพากษาดังกล่าวโดยไม่อาจจะร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียได้ ย่อมเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายและไม่ได้รับความยุติธรรม จำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับความเสียหายจึงชอบที่จะยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้เพิกถอนการพิจารณาที่ศาลชั้นต้นดำเนินไปโดยผิดระเบียบนั้นเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคแรก ดังนั้นในกรณีที่ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 1 แล้วได้ความจริงตามคำร้องเพียงใด ก็ชอบที่จะมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาย้อนไปถึงกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียใหม่ได้เพียงนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีความเห็นว่าการร้องขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบจะต้องยื่นต่อศาลที่ดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบก่อนศาลนั้นมีคำพิพากษา จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง ให้ยกคำร้อง และศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นศาลฎีกาเพราะบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง บัญญัติขึ้นใช้กับกรณีที่คู่ความฝ่ายที่เสียหายได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างของการผิดระเบียบนั้นก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเท่านั้น จะใช้กับกรณีที่คู่ความฝ่ายที่เสียหายเพิ่งทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างของการผิดระเบียบนั้นภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วหาได้ไม่ เพราะเป็นการฝืนธรรมชาติที่จะบังคับให้คู่ความฝ่ายที่เสียหายจากกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาเสียก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาโดยที่ตนยังไม่ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้รับคำร้องของจำเลยที่ 1 ไว้ไต่สวนต่อไปค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่แล้วแต่กรณี