คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3188/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถอนเงินของโจทก์จากธนาคาร2 ครั้ง ครั้งแรกวันที่ 26 มิถุนายน 2528 เป็นเงิน 500,000 บาทครั้งที่สองเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2529 เป็นเงิน 200,000 บาทและเบียดบังเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต แล้วหลบหนีไปเป็นละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ซึ่งเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้ว ไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องบรรยายว่าจำเลยที่ 1จงใจหรือประมาทเลินเล่ออีก คำฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์นำสืบว่า ต้นฉบับสัญญาค้ำประกันสูญหายเพราะถูกจำเลยที่ 1ลักไป ได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจไว้แล้ว อันเป็นการแสดงเหตุจำเป็นที่ไม่สามารถส่งต้นฉบับเอกสารเป็นพยานหลักฐานได้การที่ศาลชั้นต้นรับฟังสำเนาสัญญาค้ำประกัน จึงเท่ากับศาลชั้นต้นอนุญาตให้นำสำเนาเอกสารมาสืบได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) ศาลย่อมรับฟังสำเนาเอกสารแทนต้นฉบับเอกสารได้โดยชอบด้วยกฎหมาย การรับฟังสำเนาเอกสารเป็นพยานหลักฐานแทนต้นฉบับเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) หาใช่เป็นการรับฟังต้นฉบับเอกสารเป็นพยานหลักฐาน อันจะต้องปิดอากรแสตมป์ที่ต้นฉบับนั้นไม่ ทั้งสำเนาเอกสารดังกล่าวก็มิใช่ต้นฉบับหรือคู่ฉบับหรือคู่ฉีก จึงไม่อยู่ในบังคับที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์ในตำแหน่งผู้จัดการจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันการเข้าทำงานของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1ได้ถอนเงินโจทก์จากธนาคารรวม 2 ครั้ง ครั้งแรกวันที่ 26 มิถุนายน2528 เป็นเงิน 500,000 บาท ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2529เป็นเงิน 200,000 บาท และเบียดบังเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริตเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ก่อนครบกำหนดยื่นคำให้การ จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรม โจทก์ยื่นคำขอให้ศาลหมายเรียกนายพัฒนศักดิ์ สุวรรณหล่อ ทายาทของจำเลยที่ 1เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกโดยนายพัฒนศักดิ์ไม่คัดค้าน
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน792,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน700,000 บาท นับแต่วันที่ 18 กันยายน 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้จำเลยที่ 2ชำระจนครบ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาจำเลยที่ 2 ที่ว่า โจทก์มิได้บรรยายคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กระทำการใดด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ทำให้จำเลยที่ 2ไม่อาจเข้าใจคำฟ้องโจทก์ได้ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ว่า กระทำละเมิดโจทก์หรือผิดสัญญากันแน่นั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายคำฟ้องจำเลยที่ 1ว่า จำเลยที่ 1 ถอนเงินของโจทก์จากธนาคารรวม 2 ครั้ง ครั้งแรกวันที่ 26 มิถุนายน 2528 เป็นเงิน 500,000 บาท ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2529 เป็นเงิน 200,000 บาท และเบียดบังเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต แล้วหลบหนีไปเป็นละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์เสียหายซึ่งเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้ว ไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องบรรยายว่า จำเลยที่ 1 จงใจหรือประมาทเลินเล่ออีก คำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
สำหรับปัญหาต่อไปจำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นรับฟังสำเนาเอกสารเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น เห็นว่า ตามทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าต้นฉบับสัญญาค้ำประกันสูญหายเพราะถูกจำเลยที่ 1ลักไปได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจไว้แล้ว อันเป็นการแสดงเหตุจำเป็นที่ไม่สามารถส่งต้นฉบับเอกสารเป็นพยานหลักฐานได้ การที่ศาลชั้นต้นรับฟังสำเนาเอกสารดังกล่าว จึงเท่ากับศาลชั้นต้นอนุญาตให้นำสำเนาเอกสารมาสืบได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 93(2) ศาลย่อมรับฟังสำเนาเอกสารแทนต้นฉบับเอกสารได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
สำหรับปัญหาสุดท้ายที่จำเลยที่ 2 ฎีกาโต้แย้งว่าต้นฉบับสัญญาค้ำประกันไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ ไม่สามารถนำสำเนาเอกสารดังกล่าวมาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรนั้นเห็นว่า ในคดีนี้เป็นการรับฟังสำเนาเอกสารเป็นพยานหลักฐานแทนต้นฉบับเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2)จึงหาใช่เป็นการรับฟังต้นฉบับเอกสารเป็นพยานหลักฐาน อันจะต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรตามที่จำเลยที่ 2 กล่าวอ้างแต่อย่างใดไม่ ทั้งสำเนาเอกสารดังกล่าวก็มิใช่ต้นฉบับหรือคู่ฉบับหรือคู่ฉีก ไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร
พิพากษายืน

Share