แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จะมีความผิดตาม กฎหมายอาญา มาตรา 129 ก็ต่อเมื่อได้ความว่าผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ท่านใช้ให้มีหน้าที่ปกครองหรือพิทักษ์รักษาทรัพย์หรือหนังสืออย่างใดใด ถ้ามันมิได้มีอำนาจที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย และมันทำลายทรัพย์หรือหนังสือนั้นๆ หรือทำให้วิปลาสบุบสลายหรือมันยอมให้ผู้อื่นกระทำเช่นนั้นโดยมันรู้เห็นเป็นใจด้วยก็ดี จึงจะมีความผิด
เมื่อได้ความว่าจำเลยเป็นผู้รักษาการป่าไม้อำเภอ อนุญาตให้ผู้มีชื่อตัดไม้โดยไม่อยู่ในอำนาจที่จะอนุญาตได้เพียงเท่านี้จึงไม่ใช่เรื่องเจตนาทำลายทรัพย์หรือหนังสืออย่างใดตามความใน มาตรา 129 และเมื่อคดีไม่มีปัญหาที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยจะมีความผิดสถานอื่นอีกหรือไม่เพราะไม่มีฝ่ายใดฎีกา คดีจึงไม่มีทางลงโทษจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นพนักงานป่าไม้จัตวาจำเลยที่ 3 เป็นพนักงานป่าไม้วิสามัญประจำอำเภอแม่สอด จำเลยที่ 1 รักษาการในตำแหน่งป่าไม้อำเภอแม่สอด และเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่อยู่จำเลยที่ 2 เป็นผู้รักษาการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยทั้ง 3 มีหน้าที่ปกครองรักษาไม้สักในท้องที่อำเภอแม่สอด มีหน้าที่รับคำร้องขอทำไม้สักจากเอกชนซึ่งขออนุญาตตัดฟันชักลากไม้แล้วนำคำร้องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งจำเลยทั้ง 3 ไม่มีอำนาจสั่งอนุญาตให้ตัดฟันชักลากไม้สัก บังอาจสมคบกันกระทำผิดกฎหมาย คือจำเลยได้รับคำขอตัดไม้แล้วหาได้นำเสนอเพื่อสั่งไม่ จำเลยทั้ง 3 บังอาจใช้ตราประจำตัวของจำเลยทั้ง 3 ตีประทับไม้สักของนายปัน 3,476 ท่อนคิดค่าภาคหลวง 173,800 บาท นายคำฝน 155 ท่อน คิดค่าภาคหลวง 7,500 บาท อนุญาตให้ผู้มีชื่อดังกล่าวตัดฟันชักลากไม้สักได้โดยมิได้รับอนุญาตจากป่าไม้เขตตาก และจำเลยได้บังอาจใช้ตราค่าภาคหลวงตีเก็บเงินค่าภาคหลวงจากไม้ของนายปันโดยมิได้รับอนุญาตจากป่าไม้เขตตากให้ใช้ตราค่าภาคหลวงได้ และจำเลยเก็บเงินค่าภาคหลวงจากนายปันเพียง 6,096.88 บาท เท่านั้น นอกจากนี้จำเลยมิได้เรียกเก็บเงินค่าภาคหลวงไม้สักจากบุคคลดังกล่าว ทั้งนี้โดยจำเลยสมคบกันใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยหาประโยชน์อันมิควรได้ไว้เป็นอาณาประโยชน์ของจำเลยอันกระทำให้เสื่อมเสียประโยชน์ของรัฐบาลขอให้ลงโทษตามมาตรา 129, 132, 63 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอาญา พ.ศ. 2477 มาตรา 3 พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอาญา พ.ศ. 2484 มาตรา 3 ฯลฯ
จำเลยปฏิเสธและต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่กล่าวให้ทราบว่าจำเลยคนใดกระทำอย่างใด
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 129 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2477 (ฉบับที่ 2) มาตรา 3 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 3 ปี จำเลยที่ 2 ผิดตามมาตรา 129, 132 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2477 (ฉบับที่ 2) มาตรา 3 และ พ.ศ. 2484 มาตรา 3 ให้ลงโทษตามมาตรา 132 ซึ่งเป็นบทหนักให้จำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 7 ปี ให้ยกฟ้องเฉพาะข้อหาเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ฯลฯ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์ว่าเป็นสำเนาหนังสือที่เจ้าหน้าที่เรียบเรียงและรับรองว่าเป็นสำเนาอันแท้จริงตรงตามกฎหมายอาญา มาตรา 6(19) ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน