คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3154/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จะปรากฏว่า ส. เคยถูกฟ้องว่าร่วมกระทำผิดคดีเดียวกันนี้กับจำเลยมาก่อน คำเบิกความและคำให้การของ ส. จึงถือได้ว่าเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกันก็ตาม แต่คำซัดทอดดังกล่าวก็มิได้เป็นเรื่องการปัดความผิดของผู้ซัดทอดให้เป็นความผิดของจำเลยผู้เดียว คงเป็นการแจ้งเรื่องราวถึงเหตุการณ์ที่ตนได้ประสบมาจากการกระทำผิดของตนยิ่งกว่าเป็นการปรักปรำจำเลย คำเบิกความและคำให้การของ ส. จึงมิใช่เป็นพยานหลักฐานที่จะรับฟังไม่ได้เสียเลย เพียงแต่มีน้ำหนักน้อยและจะต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังเท่านั้น จำเลยผิดฐานรับของโจรโดยรับเอาเมล็ดกาแฟซึ่งเป็นทรัพย์ที่ ส. ลักไปจากผู้เสียหายเป็นบางส่วนเท่านั้น โดยพยานโจทก์ไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัยได้ว่า จำเลยรับเอาไปเป็นจำนวนเท่าใดราคาเท่าใด จะบังคับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ทั้งหมดแก่เจ้าของทรัพย์ไม่ได้ ศาลจึงไม่กำหนดให้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335,336 ทวิ, 83 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 11 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 13 และให้จำเลยคืนเมล็ดกาแฟหรือใช้ราคา 166,000 บาท แก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 จำคุก 2 ปี จำเลยนำสืบว่ารับจ้างนำเมล็ดกาแฟไปขายจริงเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 จำคุก 1 ปี 4 เดือน ให้จำเลยคืนเมล็ดกาแฟที่รับของโจรหรือใช้ราคา 166,000 บาทแก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยไม่โต้เถียงกันฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง นายสวาทจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 647/2530 ของศาลชั้นต้น ได้เป็นคนร้ายลักเอาเมล็ดกาแฟของผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างของนายสวาทไปหลายครั้ง รวมแล้วเป็นจำนวน 4,000 กิโลกรัมราคม 166,000 บาท โดยในการลักทรัพย์ดังกล่าว นายสวาทจะนำเมล็ดกาแฟของผู้เสียหายที่อยู่ในร้านใส่กระสอบปุ๋ยไว้ แล้วจะให้จำเลยบ้างผู้อื่นบ้าง ซึ่งเป็นคนขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างนำไปขายให้ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยคงมีว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานรับของโจรหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายและนายสวาทเป็นพยานผู้เสียหายเบิกความว่าระหว่างเกิดเหตุที่นายสวาทลักเอาเมล็ดกาแฟของผู้เสียหายไปดังกล่าว มีอยู่ประมาณ 4 ครั้ง นายสวาทได้โทรศัพท์ไปหาพยานที่บ้านซึ่งเป็นช่วงเวลาเช้าว่า มีผู้นำเมล็ดกาแฟมาขาย เมื่อพยานมาที่ร้านจะเห็นเมล็ดกาแฟบรรจุอยู่ในกระสอบปุ๋ยครั้งละ 2-3 กระสอบน้ำหนักกระสอบละ 30-40 กิโลกรัม ต่อมาประมาณ 2-3 นาที จำเลยจะเข้ามาแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของเมล็ดกาแฟดังกล่าว และรับเงินค่าเมล็ดกาแฟไปจากพยานทุกครั้ง นายสวาทเบิกความว่า ระหว่างเกิดเหตุพยานลักเมล็ดกาแฟของผู้เสียหายไปประมาณ 10 ครั้ง เมื่อลักได้แล้วแต่ละครั้งจะใส่กระสอบปุ๋ยไว้ แล้วจะเรียกคนขับขี่รถและจำเลยซึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างอยู่ใกล้ ๆ ร้านของผู้เสียหายนำไปขายที่ตลาดหลังสวนและที่ร้านค้าของผู้เสียหาย สำหรับจำเลยพยานให้นำกาแฟไปขายให้ 2-3 ครั้ง โดยจะนำกระสอบกาแฟกองไว้หน้าบ้านและจำทำในตอนเช้าเพราะไม่มีคนอยู่ที่ร้าน นอกจากพยานบุคคลดังกล่าวแล้ว โจทก์ยังมีบันทึกคำให้การของนายสวาทในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.4 เป็นพยานเอกสารสนับสนุนอีกด้วย โดยบันทึกดังกล่าวนี้ นายสวาทให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า เมื่อพยานลักเอาเมล็ดกาแฟจากผู้เสียหายแล้ว จำเลยจะมารับไปขายให้ตามร้านรับซื้อเมล็ดกาแฟทั่วไป และในบางครั้งเมื่อจำเลยนำออกจากร้านไป 2-3ชั่วโมงแล้ว จำเลยก็จะกลับมาขายให้แก่ผู้เสียหายสลับกัน เงินที่ได้จากการขายเมล็ดกาแฟจะนำมาแบ่งคนละครึ่งกับพยาน เห็นว่า แม้จะปรากฏว่านายสวาทเคยถูกฟ้องว่ารร่วมกระทำผิดคดีเดียวกันนี้กับจำเลยมาก่อน คำเบิกความและคำให้การของนายสวาท จึงถือได้ว่าเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกันก็ตาม แต่คำซัดทอดดังกล่าวก็มิได้เป็นเรื่องการปัดความผิดของผู้ซัดทอดให้เป็นความผิดของจำเลยผู้เดียว คงเป็นการแจ้งเรื่องราวถึงเหตุการณ์ที่ตนได้ประสบมาจากการกระทำผิดของตนยิ่งกว่าเป็นการปรับปรำจำเลย คำเบิกความและคำให้การของนายสวาทจึงมิใช่เปแ็นพยานหลักฐานที่จะรับฟังไม่ได้เสียเลย เพียงแต่มีน้ำหนักน้อยและจะต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังเท่านั้น ซึ่งเมื่อนำไปประกอบกับคำเบิกความของผู้เสียหายที่เบิกความยืนยันว่า ระหว่างเกิดเหตุได้พบจำเลยซึ่งมาแสดงตัวเป็นเจ้าของเมล็ดกาแฟที่นายสวาทลักไว้และรับเงินค่าเมล็ดกาแฟจากผู้เสียหายไปหลายครั้ง โดยจำเลยมิได้นำสืบหักล้าง จึงทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนัก และข้อเท็จจริงยังได้ความจากคำให้การของนายสวาทว่าหลังจากจำเลยรับเงินไปจากผู้เสียหายแล้ว จำเลยจะนำไปแบ่งกับนายสวาทคนละครึ่ง การกระทำของจำเลยดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยทราบดีว่าเมล็ดกาแฟที่นายสวาทให้จำเลยไปขายมิใช่เป็นเมล็ดกาแฟที่นายสวาทเป็นเจ้าของแต่อย่างใด เพราะไม่มีเหตุผลใดที่นายสวาทจะต้องแบ่งเงินค่าเมล็ดกาแฟให้จำเลยจำนวนมากถ้าหากเมล็ดกาแฟเป็นของนายสวาทจริง ทั้งจำเลยจะต้องทราบด้วยว่าเมล็ดกาแฟที่อยู่ในร้านของผู้เสียหายนั้น มิใช่เป็นของนายสวาท แต่เป็นของผู้เสียหายเพราะนายสวาทเป็นเพียงลูกจ้างของผู้เสียหายจะนำเอาเมล็ดกาแฟของผู้เสียหายออกไปขายไม่ได้นอกจากจะลักเอามาจากผู้เสียหายเท่านั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานรับของโจร พยานหลักฐานของจำเลยที่นำสืบว่า จำเลยไม่ทราบว่าเมล็ดกาแฟเป็นของผู้เสียหายไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่ที่โจทก์ขอให้จำเลยคืนเมล็ดกาแฟหรือราคาทรัพย์ให้แก่เจ้าของเป็นเงิน 166,000 บาทนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยรับเอาเมล็ดกาแฟซึ่งเป็นทรัพย์ที่นายสวาทลักไปจากผู้เสียหายเป็นบางส่วนเท่านั้น ราคาเท่าใดจะบังคับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ทั้งหมดแก่เจ้าของทรัพย์ไม่ได้ จึงไม่กำหนดให้”
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357วรรคแรก วางโทษจำคุก 2 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีของศาล มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลย 1 ปี 4 เดือน คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสีย.

Share