คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1741/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมคนหนึ่งทำสัญญาจะขายที่ดินมีโฉนดไปโดยพลการ สัญญานั้นย่อมไม่ผูกพัน และไม่มีผลให้เจ้าของรวมคนอื่นต้องขายส่วนของตนด้วย จึงไม่เป็นการทำสัญญาและรับเงินแทนเจ้าของรวมคนอื่น ซึ่งไม่มีสิทธิที่จะได้รับส่วนแบ่งเงินมัดจำ และจำเลยไม่ต้องมอบเงินดังกล่าวแก่เจ้าของรวม การกระทำของจำเลยจึงไม่มีมูลเป็นความผิดฐานยักยอก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาและผู้จัดการมรดกของนายประภัศร์ผู้ตายตามคำสั่งศาล จำเลยได้ทำสัญญาจะขายที่ดินมีโฉนดมีชื่อจำเลย สามีโจทก์และผู้อื่นอีก 2 คน เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม ให้กับนายสุภาพในราคา530,000 บาท และจำเลยได้รับเงินมัดจำ 150,000 บาท แต่จำเลยหาได้ส่งมอบเงินส่วนของสามีโจทก์ให้โจทก์ไม่ กลับเบียดบังเอาเงินค่ามัดจำส่วนของสามีโจทก์ 37,500 บาท ไว้เป็นประโยชน์ส่วนตนหรือบุคคลที่สาม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยจะมีมูลเป็นความผิดฐานยักยอกหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมา ตามข้อเท็จจริงนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 4447 ไปโดยพลการ สัญญานั้นย่อมไม่ผูกพันเจ้าของรวมคนอื่น และไม่มีผลให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนายประภัศร์เจ้าของรวมคนหนึ่ง และเจ้าของรวมคนอื่นต้องขายที่ดินส่วนของตนด้วยจึงไม่เป็นการทำสัญญาและรับเงินแทนโจทก์และเจ้าของรวมคนอื่น โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะได้รับส่วนแบ่งเงินมัดจำนั้น และจำเลยไม่ต้องมอบเงินดังกล่าวแก่โจทก์ การกระทำของจำเลยไม่มีมูลเป็นความผิดฐานยักยอกตามฟ้อง

พิพากษายืน

Share