คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3149/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อโจทก์ โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงินให้จำเลยไป แม้ฟ้องโจทก์จะมิได้ระบุคำว่า “โดยทุจริต” ไว้ก็ตาม แต่คำว่า “บังอาจ” กับข้อความที่ว่า “โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงินให้จำเลยไป” ประกอบกันก็บ่งอยู่แล้วว่าจำเลยกระทำโดยทุจริต ฟ้องโจทก์จึงครบองค์ความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 แล้ว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2533 เวลากลางวันจำเลยแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อโจทก์ว่านายสมบูรณ์ กันธะ ต้องการขายที่ดินตำบลสันโป่ง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ 2 งาน70 ตารางวา ในราคา 540,000 บาท โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงินจำนวน100,000 บาท ให้จำเลยไปทำสัญญาจะซื้อจะขายและวางมัดจำกับนายสมบูรณ์ ความจริงแล้วนายสมบูรณ์มิได้ต้องการขายที่ดินและไม่ได้รับเงินวางมัดจำแต่อย่างใด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 จำคุก 1 ปี จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาว่า คำฟ้องโจทก์หาได้ใช้คำว่าโดยทุจริต และในทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใดการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำทั้งหลายของจำเลยว่า จำเลยได้บังอาจแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อโจทก์ โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงินให้จำเลยไป แม้ฟ้องโจทก์จะมิได้ระบุ คำว่า “โดยทุจริต”ไว้ก็ตาม แต่คำว่า “บังอาจ” กับข้อความที่ว่า “โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงินให้จำเลยไป” ประกอบกันก็บ่งอยู่แล้วว่าจำเลยกระทำโดยทุจริตคำบรรยายฟ้องของโจทก์จึงครบองค์ความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และทางนำสืบของโจทก์ก็ได้ความดังกล่าวแสดงว่าจำเลยกระทำการเช่นนั้นเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงมีความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share