แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ยื่นฎีกา ศาลชั้นต้น สั่งว่า จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้ คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง และฎีกาของจำเลยทั้งสาม ล้วนเป็น ปัญหาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกที่แก้ไข ไม่รับฎีกาจำเลยทั้งสาม
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยมีทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสามไว้พิจารณาและพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงิน 182,831 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ เจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2528 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 172)
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 178)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น และกฎหมายวิธีพิจารณาว่าด้วยข้อห้ามฎีกาในคดีแพ่งย่อมมีผลใช้บังคับในทันทีตามวันเวลาที่กำหนดไว้ เมื่อพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534มาตรา 18 มีผลใช้บังคับแล้วในขณะที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3ยื่นฎีกาและคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่แก้ไขดังกล่าวมา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ