คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้เงินที่กู้ยืมไปแก่โจทก์ สหกรณ์ผู้ร้องร้องสอดว่า ในขณะที่จำเลยที่ 1ดำรงตำแหน่งผู้จัดการสหกรณ์ของผู้ร้องได้ทุจริตเบียดบังเอาเงินของผู้ร้องไป ผู้ร้องได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 เพื่อเรียกเงินคืนคดีอยู่ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันได้สมคบกับโจทก์แสดงเจตนาลวงทำสัญญากู้ยืมเงินแกล้งเป็นหนี้เงินกู้โจทก์ตามฟ้อง เพื่อมิให้ผู้ร้องบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ได้ ขอให้พิพากษาว่าสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องเป็นโมฆะ เป็นเรื่องที่ผู้ร้องมีความจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่เพื่อให้ได้รับชำระหนี้ไม่ให้จำเลยทั้งสองโอนทรัพย์ไปเสียอันจะทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย จึงร้องสอดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาระหว่างพิจารณาผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) โดยอ้างว่าโจทก์และจำเลยทั้งสองสมคบกันแสดงเจตนาลวงทำสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องเพื่อมิให้ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ได้ ขอให้พิพากษาว่าสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องเป็นโมฆะและยกฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ายังไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีเนื่องจากเหตุที่ผู้ร้องอ้างนั้น ผู้ร้องสามารถดำเนินการในขั้นตอนอื่นได้อีกถึงแม้ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีก็ตามประกอบกับผู้ร้องยื่นคำร้องเมื่อได้เริ่มสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้วจึงไม่รับคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำร้องสอด ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่จะวินิจฉัยในชั้นนี้ว่ามีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความหรือไม่เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) เป็นบทบัญญัติให้มีการร้องสอดเพื่อคุ้มครองสิทธิของบุคคลที่สาม คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้เงินที่กู้ยืมไปจากโจทก์ตามสัญญา ผู้ร้องร้องสอดว่า ในขณะที่จำเลยที่ 1 ในคดีนี้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการสหกรณ์ของผู้ร้องได้อาศัยโอกาสในตำแหน่งหน้าที่สมคบกับพวกทุจริตเบียดบังเอาเงินของผู้ร้องไปเป็นเงิน38,891,700 บาท ผู้ร้องได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกเป็นจำเลยที่ศาลแรงงานกลาง (จังหวัดยโสธร) ข้อหาความผิดฐานละเมิดผิดสัญญา ตามคดีหมายเลขดำที่ 4600/2532 คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลแรงงานกลาง (จังหวัดยโสธร) เพื่อมิให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันได้สมคบกับโจทก์ในคดีนี้กระทำการอันมิชอบด้วยกฎหมายกล่าวคือ จำเลยทั้งสองได้แกล้งเป็นหนี้เงินกู้โจทก์ตามฟ้อง ซึ่งเป็นความเท็จและเป็นการโกงเจ้าหนี้ อันเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีเป็นเรื่องที่ผู้ร้องเห็นว่ามีความจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ คือเพื่อให้ได้รับชำระหนี้ ไม่ให้จำเลยทั้งสองโอนทรัพย์ไปเสียอันจะทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายคำร้องของผู้ร้องมีเหตุผลซึ่งถ้าเป็นจริงผู้ร้องก็ควรได้รับความคุ้มครอง จึงต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(1) แล้ว โดยไม่ต้องให้ผู้ร้องไปดำเนินการตามขั้นตอนอื่นเพราะมาตรา 57(1) หาได้กำหนดเช่นนั้นไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้เพื่อรับความคุ้มครองตามกฎหมายนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้ยกคำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองเสียโดยให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องสอดของผู้ร้องไว้และดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำสั่งหรือพิพากษาใหม่ตามรูปความ

Share