คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3148/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่พนักงานเจ้าหน้าที่กองพิธีการและประเมินอากรของจำเลยในฐานะเจ้าพนักงานประเมินสั่งให้โจทก์แก้ไขเพิ่มราคาสินค้า อันเป็นฐานของการคำนวณภาษีอากรสำหรับของที่นำเข้าในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเป็นเหตุให้ต้องแก้จำนวนค่าอากรขาเข้าภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มขึ้น อันเป็นการโต้แย้งจำนวนค่าภาษีอากรที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีอากรไว้ดังกล่าวว่าไม่ถูกต้อง ถือได้ว่าเป็นการแจ้งการประเมินให้โจทก์ทราบว่าจะต้องชำระค่าอากรขาเข้า ภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาลตามฐานราคาของที่สั่งให้โจทก์แก้นั้นเอง มิฉะนั้นก็จะไม่ตรวจปล่อยของออกไปจากอารักขาของจำเลย โจทก์ทราบถึงการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินดังกล่าวแล้ว ยอมแก้ราคาของตลอดจนจำนวนค่าอากรขาเข้าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มขึ้น กับยอมชำระค่าภาษีอากรดังกล่าวให้แก่จำเลยเพื่อรับของที่นำเข้าไปจากอารักขาของจำเลยโดยได้บันทึกขอสงวนสิทธิโต้แย้งราคาไว้ด้านหลังใบขนสินค้าขาเข้าย่อมเป็นการชำระค่าภาษีอากรตามการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินที่ไม่ใช่โจทก์สมัครใจชำระโดยไม่มีการโต้แย้งราคาของ ดังนั้นการที่โจทก์จะขอเรียกค่าภาษีอากรดังกล่าวคืนย่อมเป็นการโต้แย้งผลการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินดังกล่าว โจทก์จึงต้องอุทธรณ์คัดค้านต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากรให้วินิจฉัยเสียก่อนว่าโจทก์เสียภาษีไว้เกินกว่าที่จะต้องเสียตามกฎหมายหรือไม่เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยแล้ว โจทก์จึงจะอุทธรณ์ต่อศาลหรือนำคดีมาฟ้องต่อศาลได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 และพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 8 แต่โจทก์มิได้ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว จึงไม่มี สิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลเกี่ยวกับค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลได้ การที่เจ้าพนักงานประเมินอากรของจำเลยสั่งให้โจทก์เพิ่มราคาของให้สูงขึ้น โจทก์ยอมปฏิบัติตามและเสียอากรตามราคาของที่เพิ่มขึ้น แล้วมาฟ้องเรียกอากรในส่วนที่เสียเพิ่มขึ้นคืนโดยอ้างว่าราคาของที่เจ้าพนักงานประเมินสั่งให้โจทก์เพิ่มสูงขึ้นไม่ใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด จำนวนอากรที่โจทก์เสียเพิ่มขึ้นตามราคาของจึงไม่ถูกต้องจำเลยจึงต้องคืนให้แก่โจทก์นั้น เป็นการที่โจทก์ใช้สิทธิในการเรียกร้องขอคืนเงินอากรเพราะเหตุที่ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียจริง เพราะเหตุอันเกี่ยวกับการโต้แย้งราคาของตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคห้า เมื่อปรากฏว่า ค่าอากรที่โจทก์เรียกคืนตามใบขนสินค้าขาเข้านั้น โจทก์นำเข้าเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2530 และวันที่ 24 กันยายน 2530แต่โจทก์ฟ้องขอเรียกเงินค่าอากรคืนเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2532เป็นเวลาเกินสองปีนับแต่วันนำเข้า คดีโจทก์จึงขาดอายุความ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 13 กันยายน 2530 ถึงวันที่11 สิงหาคม 2531 โจทก์ซื้อเหล็กแผ่นชนิดคอบเบิล เพลท ที่ถือเป็นเศษเหล็กตามความหมายของพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร ประเภทที่ 73.03 (พ.ร.ก. พิกัด 2503) และพิกัดประเภทที่ 72.04(พ.ร.ก. พิกัด 2531) เข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อใช้ทำเป็นวัตถุดิบในการผลิตเหล็กเส้นประเภทรีดซ้ำสำหรับก่อสร้าง ของตามใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 090-40853 ถึง 090-40856 โจทก์นำเข้ามาเมื่อวันที่13 กันยายน 2530 เป็นของกำเนิดในประเทศแคนาดา โจทก์สำแดงราคาซี.ไอ.เอฟ. ตันละ 189.63 เหรียญสหรัฐ แต่เจ้าพนักงานประเมินอากรของจำเลยให้เพิ่มราคา ซี.ไอ.เอฟ. เป็นตันละ 200.90 เหรียญสหรัฐของตามใบขนสินค้าขาเข้า เลขที่ 090-42383 โจทก์นำเข้าเมื่อวันที่24 กันยายน 2530 เป็นของกำเนิดในประเทศฝรั่งเศส โจทก์สำแดงราคาซี.ไอ.เอฟ. ตันละ 203.69 เหรียญสหรัฐ เจ้าพนักงานประเมินอากรของจำเลยให้เพิ่มราคา ซี.ไอ.เอฟ. เป็นตันละ 208.55 เหรียญสหรัฐของตามใบขนสินค้าขาเข้า เลขที่ 011-42686 โจทก์นำเข้าเมื่อวันที่21 มกราคม 2531 เป็นของกำเนิดในประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันโจทก์สำแดงราคา ซี.ไอ.เอฟ. ตันละ 211.53 เหรียญสหรัฐ เจ้าพนักงานประเมินให้เพิ่มราคา ซี.ไอ.เอฟ. เป็นตันละ 245 เหรียญสหรัฐ ตามใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 031-40150 โจทก์นำเข้าเมื่อวันที่ 7 มีนาคม2531 เป็นของกำเนิดในประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันโจทก์สำแดงราคา ซี.ไอ.เอฟ. ตันละ 244.23 เหรียญสหรัฐ เจ้าพนักงานประเมินอากรของจำเลยให้เพิ่มราคา ซี.ไอ.เอฟ. เป็นตันละ 280 เหรียญสหรัฐของตามใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 081-41694 และ 081-41695 โจทก์นำเข้าเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2531 เป็นของกำเนิดในประเทศออสเตรเลีย โจทก์สำแดงราคา ซี.ไอ.เอฟ. ตันละ 215 และ 220เหรียญสหรัฐ ตามลำดับ แต่เจ้าพนักงานจำเลยให้เพิ่มราคา ซี.ไอ.เอฟ.เป็นตันละ 244 เหรียญสหรัฐ ทั้งสองราย โจทก์ประสงค์จะนำของออกจากอารักขาของกรมศุลกากร จึงได้เพิ่มราคาสินค้าตามที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยกำหนด ทำให้โจทก์เสียเงินค่าภาษีอากรเพิ่มขึ้นตามใบขนสินค้าขาเข้าทั้ง 9 ฉบับเป็นเงิน 217,398 บาทโจทก์ไม่เห็นด้วยกับการให้เพิ่มราคาสินค้าของเจ้าพนักงานประเมินจึงได้บันทึกคำสงวนสิทธิโต้แย้งเรียกคืนไว้ทุกฉบับ โจทก์อุทธรณ์การเพิ่มราคาสินค้าต่อจำเลย ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2532จำเลยแจ้งผลการพิจารณาคำอุทธรณ์ให้โจทก์ทราบว่า เจ้าหน้าที่จำเลยได้ประเมินราคาสินค้าโจทก์เพิ่มชอบแล้ว โจทก์ก็ไม่เห็นด้วย เพราะสินค้าที่โจทก์ซื้อมาแต่ละเที่ยวมีสภาพแตกต่างกัน กล่าวคือมีความหนาบาง และสั้นยาว คละปะปนกันในอัตราส่วนที่ไม่เท่ากันโดยเฉพาะจะมีสภาพของเหล็กแผ่นที่เป็นรอยแตก สูญเสียปะปนมากน้อยกว่ากันเป็นสินค้าประเภทเศษเหล็กซึ่งไม่มีมาตรฐานที่แน่นอน ดังนั้น จึงไม่สามารถกำหนดราคาประเมินโดยการเปรียบเทียบให้ถูกต้องได้จะต้องถือราคาตามสภาพของเที่ยวนั้น ๆ ที่ผู้ขายขายเหมาคละกันมาโดยผู้ซื้อจะไม่สามารถเรียกร้องให้ผู้ขายชดใช้ความเสียหาย หากเศษเหล็กที่ซื้อมีส่วนเสียมากได้ ซึ่งส่วนที่เสียจะถูกคัดออกเพราะใช้เป็นวัตถุดิบไม่ได้ ผู้ซื้อต้องรับผิดชอบเอง เหล็กเที่ยวที่ซื้อมามีส่วนเสียมากราคาย่อมจะถูกกว่าเที่ยวที่มีส่วนเสียน้อย ราคาสินค้าที่โจทก์ซื้อมาแต่ละเที่ยวเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดการประเมินจึงไม่ชอบ ขอให้พิพากษาว่าราคาสินค้าที่โจทก์สำแดงในใบขนสินค้าขาเข้าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด ขอให้เพิกถอนการประเมินราคาสินค้าเพิ่มและให้จำเลยคืนเงิน 217,398 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องให้โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์นำคดีมาฟ้องต่อศาลเกินกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่นำของเข้าฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ การอุทธรณ์ของโจทก์ตามแบบคำขออุทธรณ์ราคาตามประกาศกรมศุลกากรที่ 43/2530 เป็นการอุทธรณ์เกินกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับแจ้งการประเมิน โดยกำหนดให้โจทก์เพิ่มราคาสินค้าและอากร จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อมาตรา112 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 คำอุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้กองวิเคราะห์ราคาจะรับพิจารณาให้และแจ้งการพิจารณาก็ไม่ทำให้คำอุทธรณ์ของโจทก์เป็นคำอุทธรณ์ที่สมบูรณ์อีกทั้งโจทก์มิได้อุทธรณ์การประเมินเกี่ยวกับภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลซึ่งโจทก์ได้ชำระเพิ่มไว้ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับแจ้งการประเมิน ตามมาตรา 30 แห่งประมวลรัษฎากรการประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลของเจ้าพนักงานประเมินจึงเป็นอันยุติ โจทก์ไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้องต่อศาล ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในข้อแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลหรือไม่ เห็นว่า การที่พนักงานเจ้าหน้าที่กองพิธีการและประเมินอากรของจำเลยในฐานะเจ้าพนักงานประเมินตามประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยการแต่งตั้งเจ้าพนักงาน (ฉบับที่ 2)เรื่องยกเลิกและแต่งตั้งเจ้าพนักงานประเมินตามประมวลรัษฎากรประกาศ ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2513 สั่งให้โจทก์แก้ไขเพิ่มราคาสินค้าอันเป็นฐานของการคำนวณภาษีอากรสำหรับของที่นำเข้าในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเป็นเหตุให้ต้องแก้จำนวนค่าอากรขาเข้า ภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มขึ้น อันเป็นการโต้แย้งจำนวนค่าภาษีอากรที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีอากรไว้ดังกล่าวว่าไม่ถูกต้อง ถือได้ว่าเป็นการแจ้งการประเมินให้โจทก์ทราบว่าจะต้องชำระค่าอากรขาเข้า ภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาลตามฐานราคาของที่สั่งให้โจทก์แก้นั้นเองมิฉะนั้นก็จะไม่ตรวจปล่อยของออกไปจากอารักขาของจำเลย โจทก์ทราบถึงการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินดังกล่าวแล้ว ยอมแก้ราคาของตลอดจนจำนวนค่าอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มขึ้น กับยอมชำระค่าภาษีอากรดังกล่าวให้แก่จำเลยเพื่อรับของที่นำเข้าไปจากอารักขาของจำเลย โดยได้บันทึกขอสงวนสิทธิโต้แย้งราคาไว้ด้านหลังใบขนสินค้าขาเข้า ย่อมเป็นการชำระค่าภาษีอากรตามการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน หาใช่โจทก์สมัครใจชำระโดยไม่มีการโต้แย้งราคาของแต่อย่างใดดังนั้นการที่โจทก์จะขอเรียกค่าภาษีอากรดังกล่าวคืนย่อมเป็นการโต้แย้งผลการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินดังกล่าว โจทก์จึงต้องอุทธรณ์คัดค้านต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากรให้วินิจฉัยเสียก่อนว่า โจทก์เสียภาษีไว้เกินกว่าที่จะต้องเสียตามกฎหมายหรือไม่ เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยแล้วโจทก์จึงจะอุทธรณ์ต่อศาลหรือนำคดีมาฟ้องต่อศาลได้ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 30 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 8 แต่โจทก์มิได้ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว จึงไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลเกี่ยวกับค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลได้ ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้มาชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาในข้อที่สองมีว่า ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับขอคืนเงินค่าอากรตามใบขนสินค้าขาเข้าหมายเลข 090-40853 ถึง 090-40856 และ 090-42383ขาดอายุความแล้วหรือไม่ เห็นว่าพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469มาตรา 10 วรรคห้า บัญญัติว่า “สิทธิในการเรียกขอคืนเงินอากรเพราะเหตุที่ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียจริงเป็นอันสิ้นไปเมื่อครบกำหนดสองปีนับจากวันนำของเข้าหรือส่งของออก แล้วแต่กรณี แต่คำเรียกร้องขอคืนอากรเพราะเหตุอันเกี่ยวกับชนิด คุณภาพ ปริมาณน้ำหนัก หรือราคาแห่งของใด ๆ หรือเกี่ยวกับอัตราอากรสำหรับของใด ๆนั้น มิให้รับพิจารณาหลังจากที่ได้เสียอากรและของนั้น ๆ ได้ส่งมอบหรือส่งออกไปแล้ว เว้นแต่ในกรณีที่ได้แจ้งความไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนการส่งมอบหรือส่งออกว่าจะยื่นคำเรียกร้องดังกล่าวหรือในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่พึงต้องรู้อยู่ก่อนส่งมอบหรือส่งออกว่าอากรที่ชำระไว้นั้นเกินจำนวนที่พึงต้องเสียสำหรับของที่ส่งมอบหรือส่งออก” ซึ่งมีความหมายว่า สิทธิในการเรียกร้องขอคืนเงินอากรเพราะเหตุที่ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียจริงนั้นไม่ว่าเป็นเพราะเสียไว้เกินโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ หรือเป็นเพราะเหตุยังมีข้อโต้แย้งกันเกี่ยวกับราคาแห่งของที่นำเข้านั้นก็ตาม จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องขอคืนภายในกำหนดสองปีนับจากวันนำของเข้าทั้งสิ้น แต่ในกรณีที่เสียไว้เกินเพราะเหตุอันเกี่ยวกับราคาแห่งของที่นำเข้านั้น นอกจากจะต้องใช้สิทธิเรียกร้องขอคืนภายในกำหนดสองปีนับจากวันนำเข้าแล้ว ผู้นำเข้ายังต้องแจ้งความไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนการส่งมอบหรือเป็นกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่พึงต้องรู้อยู่ก่อนส่งมอบว่า อากรที่ชำระไว้นั้นเกินจำนวนที่พึงต้องเสียสำหรับของที่ส่งมอบอีกด้วยจึงจะมีสิทธิขอเรียกคืนได้ และการที่เจ้าพนักงานประเมินอากรของจำเลย สั่งให้โจทก์เพิ่มราคาของให้สูงขึ้นโจทก์ยอมปฏิบัติตามและเสียอากรตามราคาที่เพิ่มขึ้น แล้วมาฟ้องเรียกอากรในส่วนที่เสียเพิ่มขึ้นคืนโดยอ้างว่าราคาของที่เจ้าพนักงานประเมินสั่งให้โจทก์เพิ่มสูงขึ้นไม่ใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด จำนวนอากรที่โจทก์เสียเพิ่มขึ้นตามราคาของจึงไม่ถูกต้อง จำเลยจึงต้องคืนให้แก่โจทก์นั้น ย่อมเป็นการที่โจทก์ใช้สิทธิในการเรียกร้องขอคืนเงินอากรเพราะเหตุที่ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียจริง เพราะเหตุอันเกี่ยวกับการโต้แย้งราคาของตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา10 วรรคห้า นั่นเอง เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ค่าอากรที่โจทก์เรียกคืนตามใบขนสินค้าขาเข้าดังกล่าวนั้น โจทก์นำเข้าเมื่อวันที่ 14กันยายน 2530 และวันที่ 24 กันยายน 2530 แต่โจทก์ฟ้องขอเรียกเงินค่าอากรคืนเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2532 เป็นเวลาเกินสองปีนับแต่วันนำเข้าคดีโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว”
พิพากษายืน

Share