แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ที่ 2 เข้าทำสัญญารับรองการเช่าซื้อของ โจทก์ที่ 1 โดยในกรณีที่โจทก์ที่ 1 ผิดสัญญา โจทก์ที่ 2 จะต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์รถที่เอาประกันภัยมาเป็นของโจทก์ที่ 2 นั้น เป็นการรับโอนสิทธิเรียกร้องอันมีอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์ที่1 มีต่อผู้ให้เช่าซื้อมาเป็นของโจทก์ที่ 2 เท่านั้น หาได้รวมไปถึงสิทธิเรียกร้องที่โจทก์ที่ 1 มีต่อ จำเลยที่ 3 ตามสัญญาประกันภัยด้วยไม่ เพราะเป็นสัญญาอีก ฉบับหนึ่งแยกต่างหากจากสัญญาเช่าซื้อ ขณะเกิดวินาศภัยแก่รถที่เอาประกันภัย โจทก์ที่ 1 ยังอยู่ในฐานะเป็นผู้เช่าซื้อ สิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าสินไหมทดแทนในเหตุวินาศภัยย่อมเป็นของโจทก์ที่1 ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยที่จะเรียกร้องจากจำเลยที่ 3 การที่โจทก์ที่ 2 จะใช้สิทธิเรียกร้องนี้ได้ก็แต่โดยโจทก์ที่ 1 โอนสิทธิเรียกร้องนั้นให้แก่โจทก์ที่ 2 เท่านั้น และกรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 875 เพราะโจทก์ที่ 2 ได้รับโอนรถที่เอาประกันภัยมาภายหลังที่ความวินาศภัยได้ เกิดขึ้นแล้ว สิทธิอันมีอยู่ ในสัญญาประกันภัย ย่อมไม่โอนตามไป โจทก์ที่ 1 ที่ 2 เป็นฝ่ายนำสืบก่อน โจทก์ที่1 ขาดนัดพิจารณาศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปโดยมิได้สั่งจำหน่ายคดีของ โจทก์ที่ 1 ย่อมถือได้ว่าเป็นการพิจารณาคดีที่ผิดระเบียบ แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้คัดค้านจนศาลชั้นต้นสืบพยานทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้นและ วินิจฉัยชี้ขาดคดีไปแล้วจึงล่วงเลยเวลาที่จะคัดค้าน กรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้สั่งจำหน่ายคดีโจทก์ที่ 1 แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 จำเลยจึงหมด สิทธิที่จะยกข้อคัดค้านเรื่องนี้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกา ตามกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์รวมทั้งอุปกรณ์ติดประจำเนื่องจากการชนที่เกิดขึ้นระหว่างระยะเวลาประกันภัยย่อมหมายความว่า ความเสียหายที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดมีเฉพาะแต่ความเสียหายต่อตัวรถและอุปกรณ์ เท่านั้น ความเสียหายเนื่องจากขาดรายได้ประจำวันมิใช่ความเสียหายต่อตัวรถและอุปกรณ์ จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้ให้แก่โจทก์ที่ 1
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน น.ฐ.22715มาจากบริษัทเชสแมน ฮัตตัน อินเวสต์เมนต์ (ประเทศไทย) จำกัด โจทก์ที่ 2เป็นผู้ติดต่อให้โจทก์ที่ 1 เช่าซื้อรถดังกล่าว โดยมีสัญญากันว่าถ้าโจทก์ที่ 1 ผิดสัญญาโจทก์ที่ 2 จะต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างทั้งหมด พร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าเสียหายให้แก่บริษัทดังกล่าวทันที และรับโอนกรรมสิทธิ์และผลประโยชนืต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อรวมทั้งกรรมสิทธิ์ในรถยนต์มาเป็นของโจทก์ที่ 2 ด้วย
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียนร.บ.06509 และเป็นนายจ้างของนายวงค์ ซึ่งเป็นผู้ขับรถของจำเลยทั้งสองและเป็นผู้ทำละเมิดคดีนี้ จำเลยที่ 3 ได้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียนน.ฐ.22715 ไว้จากโจทก์ที่ 1
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2521 นายวงค์ ลูกจ้างจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ร.บ.06509 ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ตามถนนสายจอมบึง – ราชบุรี มุ่งหน้าไปทางถ้ำจอมพล ด้วยความประมาทเป็นเหตุให้รถเสียหลักพุ่งเข้าชนรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน น.ฐ.22715 ซึ่งนายวีระบุตรโจทก์ที่ 1 ขับเสียหายหลายรายการคิดเป็นเงิน 189,357.29 บาท จำเลยที่ 3ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน น.ฐ.22715 จะต้องใช้ค่าเสียหายดังกล่าวแก่โจทก์ที่ 1 เจ้าของรถ และร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิจากเจ้าของเดิมด้วย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 มิได้เป็นผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ร.บ.06509 เพราะได้ให้จำเลยที่ 2 เช่าซื้อไปแล้ว นายวงค์มิใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 1 แต่เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 โจทก์ที่ 2 ไม่มีอำนาจฟ้อง ค่าเสียหายมากเกินกว่าเหตุ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในรถยนต์หมายเลขทะเบียน น.ฐ.22715 และไม่ได้เสียค่าซ่อมจึงไม่เสียหาย โจทก์ที่ 1 ไม่ใช่เจ้าของรถดังกล่าว ในขณะเอาประกันภัยและขณะเกิดเหตุ กรมธรรม์ประกันภัยจึงตกเป็นโมฆะโจทก์ที่ 2 ก็ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ที่เอาประกันภัยและไม่ใช่ผู้เอาประกันภัยกับจำเลยที่ 3จะบังคับตามสัญญาประกันภัยไม่ได้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหาย 12,000 บาท และ 78,180 บาทแก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ตามลำดับพร้อมด้วยดอกเบี้ยโดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 49,500 บาท ตามส่วน พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 สำหรับจำเลยที่ 3
โจทก์ที่ 2 และจำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์ที่ 1 ได้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน น.ฐ.22715 จากบริษัทเชสแมนอัตตัน อินเวสต์เมนต์(ประเทศไทย) จำกัด ตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.5 โดยมีโจทก์ที่ 2 ทำสัญญารับรองที่จะชำระหนี้สินที่โจทก์ที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระตามสัญญาเช่าซื้อให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อดังกล่าว ตามเอกสารหมาย จ.12 และโจทก์ที่ 1 ได้เอารถที่เช่าซื้อประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 3 ระบุไว้ในเอกสารแนบท้ายสัญญาให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดมงคลยนตการเป็นเจ้าของรถและได้รับเงินค่าเสียหายกรณีที่เอาประกันภัยไว้เสียหายหรือสูญหายจนซ่อมไม่ได้ ตามเอกสารหมาย จ.6 มีกำหนดสัญญา 1 ปี นับแต่วันที่ 3 มีนาคม 2521 เป็นต้นไป ต่อมาวันที่ 23 มิถุนายน 2521 รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียนน.ฐ.22715 ถูกรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ร.บ.06509 ของจำเลยที่ 2 ชนเสียหายโดยประมาทเลินเล่อ คิดค่าซ่อมเป็นเงิน 78,180 บาท หลังจากรถโจทก์ที่ 1 ถูกชนแล้ว โจทก์ที่ 1 ไม่มีเงินชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์ที่ 2 จึงชำระค่าเช่าซื้อส่วนที่เหลือให้แก่บริษัทเชสแมนฮัตตัน อินเวสต์เมนต์ (ประเทศไทย) จำกัด รวมเป็นเงิน55,026 บาท ตามเอกสารหมาย จ.10 แทนโจทก์ที่ 1 และคดีนี้ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์ทั้งสองนำสืบก่อน ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก โจทก์ที่ 1 ไม่มาศาล ศาลจึงมีคำสั่งว่า โจทก์ที่ 1 ขาดนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ที่ 2 ระหว่างสืบพยานโจทก์ที่ 1 ได้เข้าเบิกความเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2524 ตามหมายเรียกพยานของโจทก์ที่ 2 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2524 คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงมีปัญหาเฉพาะ จำเลยที่ 3 ว่าจำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยหรือไม่
ที่โจทก์ที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ที่ 2 ได้ชำระค่าเช่าซื้อรถที่เอาประกันภัยแทนโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 ย่อมรับช่วงสิทธิของโจทก์ที่ 1 ในบรรดาที่มีอยู่ทั้งหมด ทั้งการที่โจทก์ที่ 2 ได้รับโอนกรรมสิทธิ์รถที่เอาประกันภัยมาโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ที่ 2 ก็ย่อมได้รับโอนสิทธิอันมีอยู่ตามสัญญาประกันภัยที่จะได้รับชดใช้เงินจากจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยด้วย เห็นว่า การที่โจทก์ที่ 2 เข้าทำสัญญารับรองการเช่าซื้อของโจทก์ที่ 1 โดยในกรณีที่โจทก์ที่ 1 ผิดสัญญา โจทก์ที่ 2 จะต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างทั้งหมดพร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์รถที่เอาประกันภัยมาเป็นของโจทก์ที่ 2 นั้น เป็นการรับโอนสิทธิเรียกร้องอันมีอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์ที่ 1 มีต่อผู้ให้เช่าซื้อมาเป็นของโจทก์ที่ 2 เท่านั้น หาได้รวมไปถึงสิทธิเรียกร้องที่โจทก์ที่ 1 มีต่อจำเลยที่ 3 ตามสัญญาประกันภัยด้วยไม่เพราะเป็นสัญญาอีกฉบับหนึ่งแยกต่างหากจากสัญญาเช่าซื้อข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะเกิดเหตุวินาศภัยแก่รถที่เอาประกันภัยนี้ โจทก์ที่ 1 ยังอยู่ในฐานะเป็นผู้เช่าซื้อสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าสินไหมทดแทนในเหตุวินาศภัยย่อมเป็นของโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยที่จะเรียกร้องจากจำเลยที่ 3 การที่โจทก์ที่ 2 จะใช้สิทธิเรียกร้องนี้ได้ก็แต่โดยโจทก์ที่ 1 โอนสิทธิเรียกร้องนี้ให้แก่โจทก์ที่ 2 เท่านั้นอีกทั้งโจทก์ที่ 2 ได้รับโอนรถที่เอาประกันภัยมาภายหลังที่ความวินาศภัยได้เกิดขึ้นแล้วสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยย่อมไม่โอนตามไป ซึ่งกรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 875 โจทก์ที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 3 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้
สำหรับฎีกาของจำเลยที่ 3 ในข้อที่ว่า เมื่อโจทก์ที่ 1 ขาดนัดพิจารณาศาลต้องจำหน่ายคดีเฉพาะโจทก์ที่ 1 นั้น เห็นว่าคดีนี้ โจทก์ทั้งสองเป็นฝ่ายนำสืบก่อนที่โจทก์ที่ 1 ขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนการพิจารณาต่อไป โดยมีคำสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์ที่ 1 ย่อมถือว่าเป็นการพิจารณาคดีที่ผิดระเบียบ แต่ก็ไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ 3 ได้คัดค้านจนศาลชั้นต้นสืบพยานทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้นและวินิจฉัยชี้ขาดคดีไปแล้วจึงล่วงเลยเวลาที่จะคัดค้านกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้สั่งจำหน่ายคดีโจทก์ที่ 1 แล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา 27 จำเลยที่ 3 จึงหมดสิทธิที่จะยกข้อคัดค้านเรื่องนี้ในชั้นอุทธรณ์ ฎีกาจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
ส่วนจำเลยที่ 3 ฎีกาว่า โจทก์ที่ 1 ขาดนัดพิจารณาจึงไม่มีสิทธิอ้างตนเองเป็นพยาน และศาลไม่ควรรับฟังคำเบิกความของโจทก์ที่ 1 มาพิพากษาให้จำเลยที่ 3 รับต่อโจทก์ที่ 1 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามหมายเรียกพยานลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์2524 เป็นหมายเรียกให้โจทก์ที่ 1 มาเป็นพยานของโจทก์ที่ 2 และในชั้นที่โจทก์ที่ 1เบิกความ โจทก์ที่ 1 เบิกความตอบคำถามของทนายโจทก์ที่ 2 และไม่มีตอนใดเลยที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์ที่ 1 เบิกความในฐานะที่เป็นพยานตนเอง กรณีถือได้ว่าโจทก์ที่ 1 เบิกความในฐานะเป็นพยานของโจทก์ที่ 2 มิใช่เบิกความเป็นพยานตนเองดังที่จำเลยที่ 3 เข้าใจ ส่วนกรณีศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมาให้โจทก์ที่ 1 ได้รับค่าเสียหายที่ต้องขาดรายได้จากการไม่ได้ใช้รถประจำวันจากจำเลยที่ 3 นั้น ปัญหานี้แม้จำเลยที่ 3 มิได้ฎีกาโต้แย้งึ้นมาโดยตรงก็ตาม เมื่อมีกรณีที่จะต้องวินิจฉัยความรับผิดของจำเลยที่ 3 จึงต้องพิจารณาตามข้อสัญญาในกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจที่จะยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยได้เอง และเห็นสมควรที่จะยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยด้วย ดังนั้นเมื่อตามกรรมธรรม์ประกันภัย เอกสารหมาย จ.6 รายการ 4 สัญญาข้อ 3.2 (หมวดที่ 3 สัญญาคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์รวมทั้งอุปกรณ์ติดประจำเนื่องจากการชนที่เกิดขึ้นระหว่างระยะเวลาประกันภัย ย่อมหมายความว่าความเสียหายที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดมีเฉพาะแต่ความเสียหายต่อตัวรถและอุปกรณ์เท่านั้น ความเสียหายเนื่องจากขาดรายได้ประจำวันมิใช่ความเสียกหายต่อตัวรถและอุปกรณ์จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้ให้แก่โจทก์ที่ 1 คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองในส่วนนี้ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษาแก้เป็นว่าให้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 สำหรับจำเลยที่ 3 ด้วย