คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3145/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลูกสร้างบ้านและรั้วบนที่ดินสาธารณะปิดหน้าที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่า บ้านและรั้วตั้งอยู่บนที่ดินที่ติดกับที่ดินของจำเลย ซึ่งแสดงว่ามิได้อยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลย คู่ความท้ากันให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลย หากได้ความว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลยและไม่ใช่ที่สาธารณะ โจทก์ยอมแพ้คดี หากที่พิพาทอยู่นอกเขตโฉนดที่ดินของจำเลยเป็นที่สาธารณะ จำเลยยอมแพ้คดี ปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินมิได้รังวัดสอบเขตตามคำท้า แต่กลับรังวัดทำแผนที่พิพาทไปตามเขตที่ครอบครองที่โจทก์จำเลยนำชี้ โดยจำเลยได้นำชี้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของตนซึ่งเป็นการนอกคำให้การ แผนที่พิพาทจึงมิได้เกิดจากการที่เจ้าพนักงานที่ดินสอบเขตที่ดินตามคำท้า ฉะนั้น แนวเขตเส้นสีแดงในแผนที่พิพาทจึงถือไม่ได้ว่าเป็นแนวเขตที่ดินตามโฉนดของจำเลยทั้งตามหนังสือนำส่งแผนที่พิพาทของเจ้าพนักงานที่ดินก็มีข้อความว่าไม่สามารถระบุได้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินสาธารณประโยชน์หรือไม่เนื่องจากผู้แทนประธานสุขาภิบาลไม่สามารถชี้เขตที่ดินสาธารณะที่แน่นอนได้ แสดงว่าไม่สามารถปฏิบัติตามคำท้าที่ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะหรือไม่ จึงไม่อาจนำแผนที่พิพาทมาเป็นหลักฐานในการวินิจฉัยตามคำท้าได้ จะต้องดำเนินกระบวนการพิจารณาต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองรื้อบ้านและรั้วพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปไม่ให้กีดขวางปิดบังหน้าดินโจทก์ทั้งสอง หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ให้โจทก์ทั้งสองหรือบุคคลอื่นรื้อบ้านและรั้วพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด โดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายจำเลยทั้งสองให้การว่า บ้านและรั้วพิพาทตั้งอยู่บนที่ดินที่ติดกับที่ดินของจำเลยทั้งสอง ซึ่งได้ครอบครองมานานจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ในวันชี้สองสถาน คู่ความขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกไปรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยตามโฉนดเลขที่ 5262 (เลขที่ดิน331) เพื่อให้รู้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลยหรือไม่แล้วคู่ความแถลงท้ากันว่า หากที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดที่ดินของจำเลยแล้วโจทก์แพ้คดี แต่หากว่าที่พิพาทอยู่นอกโฉนดที่ดินจำเลยและเป็นที่สาธารณะจำเลยแพ้คดี และถ้าเจ้าพนักงานที่ดินยืนยันว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่สาธารณะโจทก์ก็ยอมแพ้คดีเช่นกันต่อมาคู่ความได้มาติดต่อขอหนังสือศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 4 กันยายน2530 และวันที่ 14 กันยายน 2530 ซึ่งมีข้อความระบุให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดที่ดินโฉนดเลขที่ 5262 ของจำเลย และที่ดินโฉนดเลขที่ 14707 ของโจทก์ เพื่อนำเจ้าพนักงานที่ดินออกไปทำการรังวัดสอบเขตที่ดินดังกล่าว ครั้นวันที่ 25 ธันวาคม 2530เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสิงห์บุรีได้มีหนังสือนำส่งแผนที่พิพาทมายังศาลชั้นต้นมีข้อความระบุว่าในวันทำการรังวัด โจทก์และจำเลยได้นำช่างฯ ทำการรังวัดทำแผนที่พิพาทไปตามเขตที่ครอบครองและตามหนังสือศาลที่ระบุว่าให้แสดงให้ชัดเจนว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่สาธารณประโยชน์หรือไม่นั้น ทางสำนักงานที่ดินไม่สามารถจะระบุได้ เนื่องจากผู้แทนประธานสุขาภิบาลไม่สามารถจะชี้เขตที่สาธารณะที่แน่นอนได้ ครั้นถึงวันนัดพร้อมศาลชั้นต้นได้ตรวจดูแผนที่พิพาท เห็นว่าข้อเท็จจริงพอวินิจฉัยได้ตามคำท้าแล้วศาลชั้นต้นจึงได้มีคำสั่งให้นัดฟังคำพิพากษาในวันเดียวกันแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คำท้าของคู่ความตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 4 กันยายน 2530 ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกไปรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยตามโฉนดเลขที่5262 เพื่อให้รู้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลยหรือไม่เพราะโจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลูกสร้างบ้านและรั้วบนที่ดินสาธารณะปิดหน้าที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่าบ้านและรั้วพิพาทตั้งอยู่บนที่ดินที่ติดกับที่ดินของจำเลยทั้งสอง ซึ่งแสดงว่ามิได้อยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลย จึงได้มีการท้ากันดังกล่าวแต่เจ้าพนักงานที่ดินหาได้รังวัดสอบเขตตามที่คู่ความได้ท้ากันไม่กลับรังวัดด้วยการนำชี้ของโจทก์จำเลย ดังปรากฏการนำชี้ในแผนที่พิพาทที่เจ้าพนักงานที่ดินส่งศาลชั้นต้น ในหนังสือนำส่งแผนที่พิพาทก็ยังยืนยันว่าโจทก์จำเลยได้นำช่างฯ ทำการรังวัดทำแผนที่พิพาทไปตามเขตที่ครอบครอง ในแผนที่พิพาทนั้น จึงปรากฏว่าจำเลยได้นำชี้เอาที่พิพาทให้อยู่ในเขตโฉนดที่ดินของตนเป็นการนอกคำให้การที่ว่าที่พิพาทตั้งอยู่บนที่ดินติดกับที่ดินของจำเลย หาใช่อยู่ในเขตที่ดินของจำเลยดังที่นำชี้ให้ทำแผนที่พิพาทไม่ แผนที่พิพาทจึงมิได้เกิดจากการที่เจ้าพนักงานที่ดินสอบเขตที่ดินตามที่คู่ความตกลงท้ากัน เพราะฉะนั้นแนวเขตเส้นสีแดงในแผนที่พิพาทจะถือเป็นแนวเขตที่ดินตามโฉนดของจำเลยหาได้ไม่การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าได้ตรวจดูแผนที่พิพาทแล้ว ปรากฏว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลย โจทก์จึงต้องแพ้คดีตามที่ได้ท้ากันไว้ และที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำว่า “ทำการรังวัด”ฟังได้แล้วว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดสิงห์บุรีได้ออกไปทำการรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยทั้งสอง และที่พิพาทตามคำท้าแล้ว จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาและโดยที่ปรากฏตามหนังสือของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสิงห์บุรีนำส่งแผนที่พิพาทว่า ไม่สามารถจะระบุได้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่สาธารณประโยชน์หรือไม่ เนื่องจากผู้แทนประธานสุขาภิบาลไม่สามารถจะชี้เขตที่สาธารณะที่แน่นอนได้ แสดงว่าไม่สามารถปฏิบัติตามคำท้าที่ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะหรือไม่ จึงไม่อาจนำแผนที่พิพาทมาเป็นหลักฐานในการวินิจฉัยตามคำท้าของคู่ความได้ ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ฎีกาโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามรูปคดี

Share