แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 4 แล้วไปตรวจค้นอพาร์ตเมนต์ห้องเลขที่ 215 และยึดเมทแอมเฟตามีนได้อีก 32,000 เม็ด นั้น เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจที่จะต้องไปตรวจค้นอยู่แล้ว การที่จำเลยที่ 4 ถูกจับกุม จึงรับว่ามีเมทแอมเฟตามีนอีกส่วนหนึ่งอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ และพนักงานสอบสวนตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 100/2 (ที่แก้ไขใหม่) ที่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดไว้ และตามข้อเท็จจริง แม้จำเลยที่ 4 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนก็ตาม แต่ในชั้นศาลจำเลยที่ 4 กลับนำสืบว่าคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 4 เป็นการสร้างเรื่องขึ้น ซึ่งศาลก็ไม่ได้นำมารับฟังเป็นพยานหลักฐานลงโทษจำเลยที่ 4 อันจะเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีของศาลแต่ประการใด และไม่มีเหตุบรรเทาโทษอื่นที่จะหยิบยกมาเป็นข้ออ้างเพื่อลดโทษให้แก่จำเลยที่ 4 ตาม ป.อ. มาตรา 78
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนกับกระเป๋าสะพายของกลาง ส่วนของกลางที่เหลือโจทก์จะยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งริบตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15 วรรคสอง (ที่ถูกวรรคหนึ่งและวรรคสอง), 66 วรรคสอง, 102 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ให้ประหารชีวิต และฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ให้ประหารชีวิต เมื่อรวมโทษทุกระทงแล้วคงประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่ ริบเมทแอมเฟตามีนกับกระเป๋าสะพายของกลาง
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 อุทธรณ์
จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ แต่ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้ฎีการับฟังได้ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังกล่าวในฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน 132,000 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 100,000 เม็ด ให้แก่สายลับและเจ้าพนักงานตำรวจผู้ล่อซื้อ ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 มีว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสามปากเบิกความตามลำดับเหตุการณ์ที่แต่ละคนรู้เห็นได้อย่างสอดคล้องต้องกันโดยไม่มีพิรุธ โดยยืนยันว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้ขอตรวจดูเงินก่อนเนื่องจากกลัวว่าจะเป็นเงินปลอม เมื่อจ่าสิบตำรวจวัลลภไปนำกระเป๋าใส่เงินมาให้จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ก็ตรวจดูต่อหน้าดาบตำรวจเกษมและจ่าสิบตำรวจวัลลภ เมื่อตรวจดูเสร็จแล้วยังได้บอกว่าเมทแอมเฟตามีนอยู่ที่หุ้นส่วนอีกคนหนึ่งจะนำไปส่งมอบให้สถานีจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเอสโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ให้ดาบตำรวจเกษมและจ่าสิบตำรวจวัลลภขับรถยนต์ตามกันไปเพื่อไปรับมอบเมทแอมเฟตามีนที่สถานีจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว และเมื่อไปถึงจำเลยที่ 4 เป็นผู้นำเมทแอมเฟตามีน 100,000 เม็ด มาส่งมอบให้แก่ดาบตำรวจเกษม ดาบตำรวจเกษมแกะมัดเมทแอมเฟตามีนออกตรวจดูต่อหน้าจำเลยที่ 4 รวมทั้งจำเลยที่ 4 กับที่ 1 ช่วยกันเทเมทแอมเฟตามีนในกระเป๋าทั้งหมดออกไปและนับทีละมัดจนครบ 50 มัด ต่อหน้าดาบตำรวจเกษม หลังจากพันตำรวจเอกอวยพรกับพวกจับกุมจำเลยที่ 4 แล้ว พันตำรวจเอกอวยพรสอบถามจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4 ยังรับว่ามีเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวนหนึ่งเก็บไว้ที่พูนทรัพย์อพาร์ตเมนต์ห้องเลขที่ 215 เมื่อพาจำเลยที่ 4 ไปตรวจค้นห้องดังกล่าวก็พบเมทแอมเฟตามีนอีก 32,000 เม็ด จริง พฤติการณ์ของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในการมีเมทแอมเฟตามีน 132,000 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 100,000 เม็ด ให้แก่สายลับและเจ้าพนักงานตำรวจผู้ล่อซื้อ จำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงเป็นตัวการร่วมกันในการกระทำความผิดดังกล่าว หาใช่จำเลยที่ 4 เป็นเพียงผู้สนับสนุนดังที่จำเลยที่ 4 ฎีกาไม่ ส่วนที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 รับจ้างนายอุ่นไม่ทราบนามสกุล มาขนเครื่องยนต์เรือที่อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีเมื่อมาถึงจังหวัดนครสวรรค์ ให้แวะรับโช้กอัพรถกระบะที่ศูนย์โตโยต้านครสวรรค์จากจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ต้องการขายรถ จำเลยที่ 2 จึงพาไปพบผู้รับซื้อรถนั้นเห็นว่า ข้ออ้างดังกล่าวขัดต่อเหตุผลและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเพราะขณะอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีและสถานีจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเอสโซ่ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มีการพบกันกับผู้รับซื้อรถแต่อย่างใด และที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า โจทก์มิได้นำสายลับมาเบิกความเป็นพยานจึงรับฟังไม่ได้นั้น เห็นว่า การที่โจทก์จะนำพยานปากใดมาเบิกความต่อศาลย่อมเป็นดุลพินิจของโจทก์ หากโจทก์เห็นว่าพยานหลักฐานที่นำมาสืบเพียงพอที่จะพิสูจน์ความผิดของจำเลยทั้งสี่ได้แล้ว ก็หาจำเป็นต้องนำตัวสายลับมาเบิกความเป็นพยานในชั้นศาลด้วยไม่ ทั้งไม่มีกฎหมายใดบังคับได้ว่าจะต้องนำสายลับมาเบิกความในชั้นศาล ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 4 ต่อไปมีว่า มีเหตุสมควรลดโทษน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดไว้ และลดโทษให้จำเลยที่ 4 หรือไม่ เห็นว่า การที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 4 แล้วไปตรวจค้นพูนทรัพย์อพาร์ทเมนต์ห้องเลขที่ 215 และยึดเมทแอมเฟตามีนได้อีก 32,000 เม็ด นั้น เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจที่จะต้องไปตรวจค้นอยู่แล้ว การที่จำเลยที่ 4 ถูกจับกุม จึงรับว่ามีเมทแอมเฟตามีนอีกส่วนหนึ่งอยู่ที่พูนทรัพย์อพาร์ตเมนต์ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 ผู้กระทำความผิดได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ และพนักงานสอบสวนตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 (ที่แก้ไขใหม่) ที่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดไว้ และตามข้อเท็จจริง แม้จำเลยที่ 4 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนก็ตามแต่ในชั้นศาลจำเลยที่ 4 กลับนำสืบว่าคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 4 เป็นการสร้างเรื่องขึ้น ซึ่งศาลก็ไม่ได้นำมารับฟังเป็นพยานหลักฐานลงโทษจำเลยที่ 4 อันจะเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีของศาลแต่ประการใด และไม่มีเหตุบรรเทาโทษอื่นที่จะหยิบยกมาเป็นข้ออ้างเพื่อลดโทษให้แก่จำเลยที่ 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 4 ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้ฎีกามาด้วยก็ตาม แต่สำหรับจำเลยทั้งสี่ที่รับฟังได้ว่า ร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 100,000 เม็ด นั้น ปรากฏว่าในคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายว่า เมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เท่าใด แม้ตามรายงานการตรวจพิสูจน์จะระบุสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีนของกลางทั้งหมดที่ส่งไปตรวจพิสูจน์ แต่ไม่ปรากฏว่าเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันจำหน่ายมีสารบริสุทธิ์เท่าใด รายงานการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวไม่อาจนำมารับฟังเป็นผลร้ายเพื่อลงโทษจำเลยทั้งสี่ในการกระทำความผิดดังกล่าวให้หนักขึ้นได้ ต้องถือว่าเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันจำหน่ายไม่ปรากฏปริมาณสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีน การกระทำของจำเลยทั้งสี่ในข้อหาร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 100,000 เม็ด จึงต้องด้วยบทกำหนดโทษตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งแตกต่างจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายเดิม มาตรา 66 วรรคหนึ่ง กรณีโทษจำคุกในความผิดฐานนี้ต้องถือว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่เป็นคุณมากกว่า จึงต้องใช้กฎหมายใหม่ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยทั้งสี่ในความผิดดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง รวมทั้งแก้ไขโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมสอดคล้องกับบทกฎหมายที่แก้ไขใหม่ได้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, วรรคสอง และวรรคสาม (2) (ที่แก้ไขใหม่), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) และวรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุกคนละ 15 ปี แต่เมื่อลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนในครอบครองเพื่อจำหน่ายแล้ว จึงไม่นำโทษจำคุกมารวม คงให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่สถานเดียว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์