คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3144/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ปัญหาที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานก่อความวุ่นวายในการกระทำพิธี กรรมตามศาสนาหรือไม่นั้น การที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสองเป็นอิหม่าม และบิหลั่นโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อนี้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เมื่อฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองดำรง ตำแหน่งดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย จนกระทั่งถึงขณะเกิดเหตุ โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 2 ประกาศทางเครื่องขยายเสียงต่อหน้าสัปบรุษ ทั้งหลายในมัสยิดโดยใส่ความโจทก์ว่าเป็นอิหม่าม และบิหลั่นเถื่อน ได้หลอกลวงสัปบรุษ มานานแล้ว เป็นการทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ทั้งมิใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตตามป.อ. มาตรา 329 จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดตาม มาตรา 328.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นอิหม่าน โจทก์ที่ 2 เป็นบิหลั่นมีหน้าที่ปกครองดูแลมัสยิด จำเลยทั้งหมดได้ร่วมกันก่อให้เกิดความวุ่นวายด้วยการขัดขวางการทำพิธีกรรมทางศาสนาของโจทก์ทั้งสองนอกจากนี้จำเลยที่ 2 ยังได้พูดทางเครื่องขยายเสียงบนมัสยิดประกาศไม่ให้โจทก์ทั้งสองทำหน้าที่อิหม่านและบิหลั่น รวมทั้งได้ใส่ความโจทก์ทั้งสองอันเป็นการหมิ่นประมาทอีกด้วยขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 207, 326, 328, 83, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลสั่งประทับฟ้อง
จำเลยทั้งแปดให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 207, 83, 91 รวม 2 กรรม วางโทษแต่ละกรรม จำคุก 1 เดือนปรับ 500 บาท รวมจำคุก 2 เดือน ปรับ 1,000 บาท จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 207, 328, 83, 91 ลงโทษตามมาตรา 207 จำคุก 1 เดือน ปรับ 500 บาท ตามมาตรา 328 จำคุก 2 เดือนปรับ 1,000 บาท รวมจำคุก 3 เดือน ปรับ 1,500 บาท จำเลยอื่นนอกจากนั้นมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 207, 83 จำคุกคนละ1 เดือน ปรับคนละ 500 บาท โทษจำคุกของจำเลยทุกคนให้รอการลงโทษมีกำหนดคนละ 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30
จำเลยทั้งแปดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งแปดฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อ 1, 2 และ 4ส่วนข้อ 3 ไม่รับฎีกาเพราะเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ศาลำีกาวินิจฉัยว่า “…คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยข้อแรกตามฎีกาของจำเลยทั้งแปด ข้อ 1 และข้อ 2 รวมกันว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยทั้งแปดฎีกาว่า จำเลยได้อุทธรณ์ไว้แจ้งชัดแล้วว่าโจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ที่ 1 มิได้เป็นอิหม่านและโจทก์ที่ 2 มิได้เป็นบิหลั่นที่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้เพราะโจทก์ทั้งสองไม่ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวใน พ.ศ. 2508โดยชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากขณะนั้นจำเลยที่ 6 ยังเป็นอิหม่านโดยชอบด้วยกฎมหาย และนายดับดุลเลาะห์มาน แสงวิมาน ยังเป็นบิหลั่นอยู่โดยชอบด้วยกฎหมาย พิเคราะห์แล้วเห็นว่าปัญหาข้อนี้ศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัย จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาและศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อนี้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก สำหรับปัญหาข้อนี้พยานโจทก์มีนายอารีย์โก๊ะเจริญ และโจทก์ที่ 2 เบิกความประกอบเอกสารหมาย จ.5ถึง จ.12 ว่า กระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งเป็นหนังสือตามเอกสารหมาย จ.5 ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสมุทรปราการ จัดทำทะเบียนสัปปุรุษของมัสยิดดาร๊อสอาดะห์ขึ้นใหม่แล้วให้ทำการเลือกตั้งอิหม่าน คอเต็บ และบิหลั่นกับกรรมการมัสยิดให้เป็นที่เรียบร้อยแล้วรายงานให้กระทรวงมหาดไทยทราบ ตามคำสั่งดังกล่าวมอบหมายให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสมุทรปราการโดยมีนายหะยีสอี๊ดสุไลมาน เป็นประธานเป็นผู้ทำการเลือกตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งดังกล่าว ผลการเลือกตั้งในวันที่ 1 ธันวาคม 2508 ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ได้รับเลือกตั้งเป็นอิหม่านและบิหลั่นตามลำดับปรากฏตามเรื่องราวเอกสารหมาย จ.6 อันเป็นเรื่องราวที่ยื่นต่อทางราชการขอเปลี่ยนแปลงกรรมการมัสยิด ซึ่งทางคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสมุทรปราการได้ออกประกาศนียบัตรรับรองตามเอกสารหมายจ.7 และ จ.8 หลังจากนั้น โจทก์ทั้งสองได้ปฏิบัติหน้าที่อิหม่านและบิหลั่นตลอดมาและเป็นผู้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการบริการของมัสยิดตามเอกสารหมาย จ.9, จ.10 และ จ.11 จดทะเบียนจำเลยที่ 1 เป็นคอเต็บตามเอกสารหมาย จ.12 ต่อทางราชการ เห็นว่าการเลือกตั้งอิหม่านและบิหลั่นใน พ.ศ. 2508 เป็นไปตามคำสั่งของกระทรวงมหาดไทยอันชอบด้วยกฎหมาย และหลักฐานพยานโจทก์ฟังได้ว่าเมื่อโจทก์ทั้งสองได้รับเลือกตั้งแล้วก็ได้ปฏิบัติหน้าที่ตลอดมาไม่ปรากฏว่าฝ่ายจำเลยคัดค้านเรื่องนี้แต่อย่างใด… โจทก์ทั้งสองได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งอิหม่าน และบิหลั่นตามลำดับโดยชอบด้วยกฎหมายเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2508 และดำรงตำแหน่งดังกล่าวตลอดมาจนกระทั่งเกิดเหตุคดีนี้โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้อง แม้จำเลยจะนำสืบว่าคณะกรรมการมัสยิดที่เกิดเหตุได้มีมติให้โจทก์ทั้งสองพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2526 ก็ตาม มติดังกล่าวก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้แล้วคำพิพากษาฎีกา 2 เรื่องที่จำเลยดังกล่าวอ้างเป็นฎีกาข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ฎีกาของจำเลยทั้งแปดสำหรับข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยข้อต่อไปตามฎีกาข้อที่ 4 ของจำเลยมีว่า การที่จำเลยที่ 2 ได้ประกาศทางเครื่องขยายเสียงต่อหน้าสัปปุรุษทั้งหลาย กล่าวหาโจทก์ทั้งสองมีข้อความตามฟ้องนั้นเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ โดยจำเลยที่ 2 ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ได้แสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนและป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำหรือเป็นการกล่าวความจริงซึ่งเป็นประโยชน์แก่ประชาชน จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามฟ้อง พิเคราะห์แล้วจำเลยที่ 2 ประกาศทางเครื่องขยายเสียงต่อหน้าสัปปุรุษทั้งหลายในมัสยิดกล่าวหาโจทก์ทั้งสองว่า”เป็นอิหม่านบิหลั่นเถื่อน หลอกลวงปวงสัปปุรุษให้หลงเชื่อมาเป็นเวลานานแล้ว ปวงสัปปุรุษทั้งหลายอย่าไปเชื่อ” เห็นว่าศาลฎีกาได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้นว่าขณะเกิดเหตุโจทก์ทั้งสองดำรงตำแหน่งอิหม่านและบิหลั่นตามลำดับโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ประกาศดังกล่าวจึงเป็นการไส่ความโจทก์ทั้งสองโดยประการที่น่าจะทำให้ปวงสัปปุรุษหลงเชื่อ เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้ ทั้งมิใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 ดังที่จำเลยที่ 2 กล่าวอ้าง จำเลยที่ 2 จึงต้องมีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามฟ้อง กล่าวโดยสรุปแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ฎีกาของจำเลยทั้งแปดฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share