คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3134/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีที่พนักงานศุลกากรยึดสิ่งใดๆ อันจะพึงริบตามพระราชบัญญัติศุลกากร ถ้าเจ้าของหรือผู้มีสิทธิไม่ยื่นคำร้องเรียกเอาภายในกำหนด 60 วัน สำหรับยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำผิด 30 วัน สำหรับสิ่งอื่นนับแต่วันที่ยึดให้ถือว่าเป็นสิ่งไม่มีเจ้าของ และให้ตกเป็นของแผ่นดินนั้นหมายถึงกรณีที่ไม่มีการฟ้องคดีอาญาต่อศาล ถ้าเป็นกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลแล้ว ย่อมอยู่ในอำนาจของศาลที่จะพิพากษาให้ริบหรือไม่ริบของกลาง
เมื่อศาลพิพากษาถึงที่สุดให้คืนของกลางแก่เจ้าของ การที่พนักงานศุลกากรยึดถือครอบครองของกลางไว้ต่อมา ย่อมเป็นการรักษาไว้แทนเจ้าของตามหน้าที่ราชการ หากของกลางนั้นได้ถูกขายไปแล้ว ก็ชอบที่จะต้องคืนเงินค่าขายของนั้นให้แก่เจ้าของนับแต่เวลาที่ถูกทวงถาม มิฉะนั้นย่อมตกเป็นฝ่ายผิดนัดต้องเสียดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 224
คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งของกลางอันเป็นคุณแก่บุคคลใด อาจใช้ยันบุคคลอื่นได้ เว้นแต่บุคคลอื่นจะพิสูจน์ได้ว่ามีสิทธิดีกว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145(2)
ศาลอาญาพิพากษาถึงที่สุดให้คืนของกลางแก่โจทก์เมื่อวันที่13 พฤษภาคม 2501 โจทก์ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 30มิถุนายน 2501 ต่อศาลอาญาว่า อธิบดีกรมศุลกากรปฏิเสธไม่ยอมคืนของกลางให้ ขอให้ศาลอาญาสั่งบังคับ ศาลอาญาสั่งยกคำร้องโจทก์โดยว่ามีข้อโต้แย้งเรื่องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ของกลางอยู่ ชอบที่จะไปว่ากล่าวกันในทางแพ่ง โจทก์อุทธรณ์ฎีกาคำสั่งต่อมาศาลอุทธรณ์และฎีกาพิพากษายืน โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน2507 เรียกให้คืนเงินค่าขายของกลางพร้อมทั้งดอกเบี้ย ดังนี้ กรณีเป็นเรื่องเรียกทรัพย์คืน มิใช่เรื่องละเมิดซึ่งจะต้องฟ้องภายใน 1 ปีดังที่จำเลยต่อสู้ เพราะโจทก์มิได้ฟ้องเรียกเอาค่าเสียหาย คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
อธิบดีกรมศุลกากรมีอำนาจหน้าที่ควบคุมบังคับบัญชากิจการงานของกรมศุลกากร จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคล ได้ปฏิบัติราชการไปตามอำนาจหน้าที่ในกิจการของจำเลยที่ 1 ตามปกติ หาต้องรับผิดเป็นส่วนตัวไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2501 พนักงานอัยการ กรมอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายเม้ง พันธ์เผือก กับพวกเป็นจำเลยต่อศาลอาญาตามสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 284/2501 หาว่านำสินค้ายังไม่เสียภาษีเข้ามาในราชอาณาจักร ขอให้ลงโทษและสั่งริบสินค้ามีราคา 1,117,585.26 บาท ซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ต่อมาวันที่ 9 พฤษภาคม 2501 โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอให้มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 คืนสินค้าให้โจทก์ วันที่ 13 พฤษภาคม 2501 ศาลพิพากษายกฟ้อง ส่วนสินค้าให้คืนแก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าของตามคดีหมายเลขแดงที่ 797/2501 คดีถึงที่สุดแล้ว เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2501 โจทก์มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 ให้คืนสินค้าหรือใช้ราคาให้โจทก์ภายใน 3 วัน จำเลยที่ 1 รับทราบเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2501 แต่ไม่ยอมคืนสินค้าหรือใช้ราคาให้โจทก์ถือว่าผิดนัดตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2501 เป็นต้นมา

จำเลยที่ 1 โดยคำสั่งของจำเลยที่ 2 ได้ขายทอดตลาดสินค้าไปก่อนศาลอาญาพิพากษา ได้เงิน 1,112,887.50 บาท โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอรับสินค้าคืนตามคำพิพากษาจำเลยที่ 1 คัดค้านว่า โจทก์มิใช่นายเบ๊หรือจือเฮ้า แซ่ตั้ง ตัวจริง ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์สินค้า ศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์โดยเห็นว่ายังมีประเด็นข้อเท็จจริงที่จะต้องพิจารณาในทางแพ่งศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน

โจทก์เป็นเจ้าของสินค้า จำเลยจะต้องคืนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดสินค้าให้โจทก์ จึงขอให้พิพากษาให้จำเลยรับผิดชอบเป็นลูกหนี้ร่วมกันชำระเงิน 1,609,827.62 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงิน 1,112,847.50 บาทนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ไม่ใช่นายเบ๊ มิใช่เจ้าของสินค้ารายพิพาท พนักงานอัยการฟ้องนายเม้ง พันธ์เผือก กับพวกเป็นจำเลยต่อศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ 284/2501 คดีอยู่ในระหว่างพิจารณา โจทก์ได้รับสินจ้างมาแสดงตนเป็นเจ้าของสินค้ารายพิพาทและสมคบกับพวกปลอมเอกสารนำมาใช้ต่อศาลอาญาและเบิกความเท็จพนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้สอบสวนโจทก์แล้วอยู่ในระหว่างดำเนินคดี สินค้าที่ยึดบางชนิดเป็นของเสียง่ายหรือถ้าหน่วงช้าไว้จะเป็นการเสี่ยงต่อความเสียหาย จำเลยที่ 1 จึงได้ขายไปก่อนถูกริบหรือเป็นของแผ่นดินแล้วรักษาเงินไว้ ของอื่นที่เหลือได้รักษาไว้จนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2500 ไม่มีผู้ใดมาแสดงตัวเป็นเจ้าของและตกเป็นของแผ่นดินแล้ว จึงขายของอื่นที่เหลือในฐานะเป็นของแผ่นดิน รวมค่าขายสินค้ารายพิพาทเป็นเงิน 1,112,847.05 บาท จ่ายเป็นค่าสินบนและรางวัล และหักค่ากุลีขนของและค่ารถบรรทุกแล้วเหลือเงิน 498,802.18 บาท นำส่งเป็นรายได้ของแผ่นดิน โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเอาจากจำเลย

สินค้ารายพิพาทนี้เจ้าหน้าที่ยึดไว้เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2500 ไม่มีผู้ใดอ้างตัวเป็นเจ้าของ ต่อมาวันที่ 15 มกราคม 2501 จึงมีคำร้องในนามของนายเบ๊หรือจือเฮ้า แซ่ตั้ง ส่งมายังจำเลยที่ 1 ขอคืนของดังกล่าวซึ่งเป็นระยะเวลา 1 ปี ของนี้ตกเป็นของแผ่นดินแล้วตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2500 จึงไม่อาจคืนให้ได้คดีของโจทก์ขาดอายุความ

จำเลยไม่เคยเป็นคู่ความกับโจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ 797/2501 ของศาลอาญา โจทก์ไม่ใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จะใช้สิทธิในคำพิพากษาดังกล่าวมายันจำเลยไม่ได้ กรรมสิทธิ์ในสินค้ารายพิพาทตกเป็นของแผ่นดินก่อนที่โจทก์จะร้องขอต่อศาลอาญาและก่อนศาลอาญาพิพากษา เงินค่าขายสินค้ารายพิพาทหมดสภาพเป็นของกลาง โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกคืนโดยอาศัยสิทธิตามคำพิพากษาและโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดเป็นส่วนตัว

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า โจทก์ไม่ใช่นายเบ๊หรือจือเฮ้า แซ่ตั้ง ตัวจริง ซึ่งเป็นเจ้าของสินค้ารายนี้ตามคำพิพากษาคดีอาญา ไม่มีสิทธิจะเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่า โจทก์ใช่นายเบ๊หรือจือเฮ้า แซ่ตั้ง ตัวจริงซึ่งเป็นเจ้าของสินค้าของกลางตามคำพิพากษาในคดีอาญา

และวินิจฉัยในประเด็นปัญหาข้อกฎหมายว่า คำพิพากษาศาลอาญาคดีแดงที่ 797/2501 เป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งสินค้าของกลางเป็นคุณแก่โจทก์อาจใช้ยันแก่จำเลยได้ เว้นแต่จำเลยจะพิสูจน์ได้ว่ามีสิทธิดีกว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2) ซึ่งศาลอาญามีอำนาจพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 49 ข้อที่จำเลยอ้างว่ามีสิทธิในสินค้าของกลางดีกว่าก็คือสินค้าของกลางถูกเจ้าพนักงานศุลกากรยึดมา เจ้าของไม่มายื่นคำร้องเอาภายใน 30 วัน นับแต่วันยึดถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีเจ้าของ ตกเป็นของแผ่นดินก่อนโจทก์จะร้องขอต่อศาลอาญาและก่อนศาลอาญามีคำพิพากษา ศาลฎีกาเห็นว่าพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 17 ให้ริบของใด ๆ อันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ประกอบด้วยมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 แต่สินค้าของกลางนี้ปรากฏตามคำพิพากษาศาลอาญาคดีแดงที่ 797/2501 แล้วว่า มิได้เนื่องด้วยความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว ฉะนั้นจึงจะริบมิได้ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 24 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2497 มาตรา 3 บัญญัติถึงสิ่งใด ๆ อันจะพึงต้องริบตามพระราชบัญญัติศุลกากร พนักงานศุลกากร มีอำนาจยึดไว้ ถ้าเจ้าของหรือผู้มีสิทธิไม่มายื่นคำร้องเรียกเอาภายในกำหนด 60 วัน สำหรับยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำผิด 30 วันสำหรับสิ่งอื่นนับแต่วันที่ยึดให้ถือว่าเป็นสิ่งไม่มีเจ้าของ และให้ตกเป็นของแผ่นดินนั้น สิ่งของที่จะตกเป็นของแผ่นดินตามมาตรานี้จะต้องเป็นกรณีที่ไม่มีการฟ้องคดีอาญานั้นต่อศาล ถ้าเป็นกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลแล้วย่อมอยู่ในอำนาจของศาลที่จะพิพากษาให้ริบหรือไม่ริบของกลาง หากถือว่าของกลางตกเป็นของแผ่นดินแล้วตามที่จำเลยยกขึ้นอ้าง ก็ไม่มีความจำเป็นอย่างไรที่พนักงานอัยการโจทก์จะต้องมาร้องขอต่อศาลให้พิพากษาริบของกลางที่ตกเป็นของแผ่นดินแล้วให้ตกเป็นของแผ่นดินอีก ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1673/2512 พนักงานอัยการจังหวัดชลบุรี โจทก์นางสาวเฮียะ แซ่เช้า ผู้ร้อง นางฮวย แซ่เช้า จำเลย สินค้าของกลางในคดีนี้จึงยังไม่ตกเป็นของแผ่นดิน การครอบครองสินค้าของกลางของจำเลยเป็นการรักษาไว้แทนเจ้าของตามหน้าที่ทางราชการ โจทก์มีสิทธิฟ้องเอาสินค้าของกลางคืน เมื่อจำเลยได้ขายสินค้าของกลางไปแล้ว จำเลยก็ต้องถือเงินค่าขายของนั้นไว้แทนสินค้าของกลางตามพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 5 และชอบที่จะคืนเงินนั้นให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของสินค้าที่ขายไป

คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเอาเงินค่าขายสินค้าของกลางของโจทก์คืนเป็นเรื่องเรียกทรัพย์คืน กรณีมิใช่เป็นเรื่องละเมิดซึ่งจะต้องฟ้องภายใน 1 ปีดังที่จำเลยต่อสู้เพราะโจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกเอาค่าเสียหาย คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ

ระหว่างเกิดเรื่องนี้จำเลยที่ 2 เป็นอธิบดีกรมศุลกากร มีอำนาจหน้าที่ควบคุมบังคับบัญชากิจการงานของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคล ได้ปฏิบัติราชการไปตามอำนาจหน้าที่ในกิจการงานของจำเลยที่ 1 ตามปกติ จำเลยที่ 2 หาต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัวไม่

หลังจากศาลอาญาพิพากษาคดีแดงที่ 797/2501 ให้คืนของกลางให้โจทก์และคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ทวงถามขอรับเงินค่าขายของกลางคืนจากจำเลยที่ 1 กำหนดให้ส่งมอบให้ภายใน 3 วัน จำเลยที่ 1 รับทราบตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2501 ครบกำหนดวันที่ 11 กรกฎาคม 2501 จำเลยไม่คืนเงินค่าขายของกลางให้โจทก์ จำเลยจึงตกเป็นฝ่ายผิดนัดตั้งแต่วันครบกำหนด เพราะโจทก์เตือนแล้ว ต้องเสียดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในจำนวนเงินที่จะต้องคืนให้โจทก์ด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันคืนเงินค่าขายสินค้าของกลางจำนวน 1,110,868 บาทกับดอกเบี้ยในจำนวนเงินดังกล่าวอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2501 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้แก่โจทก์ นอกจากนี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share