คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1333/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์บรรยายไว้ชัดเจนว่า จำเลยได้บังอาจเสพเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดต้องห้ามโดยเด็ดขาด ซึ่งไม่ทราบจำนวนรับเข้าร่างกายด้วยการสูบ และตามวันเวลาดังกล่าว จำเลยได้มีไว้ในความครอบครองซึ่งเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดต้องห้ามโดยเด็ดขาดซึ่งเหลือจากที่จำเลยเสพแล้วไว้ในความครอบครองของจำเลย ฯลฯ จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นการยอมรับข้อกล่าวหาของโจทก์ว่าจำเลยเสพเฮโรอีน และมีเฮโรอีนที่เหลือจากการเสพไว้ในความครอบครองจริง ทั้ง 2 กระทงความผิดเป็นความผิดที่แยกกันได้ เพราะข้อหาฐานมีเฮโรอีนนั้นโจทก์มุ่งถึงเฮโรอีนซึ่งจำเลยมีอยู่หลังจากได้เสพไปบ้างแล้ว มิใช่เฮโรอีนที่จำเลยทั้งสองได้เสพไปแล้วซึ่งจะต้องมีอยู่จึงจะเสพได้จึงลงโทษจำเลยทั้งสองฐานได้
เสพเฮโรอีนและมีเฮโรอีนที่เหลือจากการเสพไว้ในความครอบครองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เป็นกระทงความผิด เมื่อจำเลยกระทำความผิดภายหลังวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 มีผลใช้บังคับแล้ว ต้องลงโทษจำเลยเป็นรายกระทงความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๑๕ เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองได้บังอาจเสพเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดต้องห้ามโดยเด็ดขาดซึ่งไม่ทราบจำนวนรับเข้าร่างกายด้วยการสูบ และตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยทั้งสองได้บังอาจร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดต้องห้ามโดยเด็ดขาด ซึ่งเหลือจากที่จำเลยเสพแล้วไว้ในความครอบครองของจำเลยทั้งสองร่วมกัน ๑ ห่อ หนัก ๒๐๐ มิลลิกรัมราคา ๖ บาท โดยฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษขอให้ลงโทษจำเลยและเพิ่มโทษจำเลยที่ ๑ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๔๖๕ มาตรา ๔, ๔ ทวิ, ๒๐ ตรี, ๒๒, ๒๙ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๔ มาตรา ๔, ๗, ๘, ๑๒ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๓, ๙๑ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายนพ.ศ. ๒๕๑๔ ข้อ ๒ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๐๒มาตรา ๘ และสั่งริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ จำเลยที่ ๑ รับข้อเคยต้องโทษและพ้นโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์ฟ้องการที่จำเลยมีเฮโรอีนไว้เพื่อเสพถือว่าเป็นกรรมเดียวกัน จึงไม่เรียงกระทงลงโทษตามที่โจทก์ขอ ให้ลงโทษตามมาตรา ๘ ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุกคนละ ๒ ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ ๑ กึ่งหนึ่งเป็นจำคุก ๓ ปีมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่งคงเหลือจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๑ ปี ๖ เดือน จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๑ ปีริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดทั้งฐานมีและฐานเสพเฮโรอีนและต้องเรียงกระทงลงโทษ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์บรรยายไว้ชัดเจนว่าจำเลยทั้งสองได้บังอาจเสพเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดต้องห้ามโดยเด็ดขาดซึ่งไม่ทราบจำนวน รับเข้าร่างกายด้วยการสูบ และตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยทั้งสองนี้ได้ร่วมกันมีไว้ในความครอบครองซึ่งเฮโรอีนเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดต้องห้ามโดยเด็ดขาดซึ่งเหลือจากที่จำเลยเสพแล้ว ๑ ห่อ มีน้ำหนัก๒๐๐ มิลลิกรัม ฯลฯ จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นการยอมรับข้อกล่าวหาของโจทก์ว่าจำเลยทั้งสองเสพเฮโรอีน และจำเลยทั้งสองร่วมกันมีเฮโรอีนที่เหลือจากการเสพไว้ในความครอบครองจริง ทั้ง ๒ กระทงความผิดเป็นความผิดที่แยกกันได้ เพราะข้อหาฐานมีเฮโรอีนนั้นโจทก์มุ่งถึงเฮโรอีนซึ่งจำเลยมีอยู่หลังจากได้เสพไปบ้างแล้ว มิใช่เฮโรอีนที่จำเลยทั้งสองเสพไปแล้วซึ่งจะต้องมีเฮโรอีนอยู่จึงจะเสพได้ จึงลงโทษจำเลยทั้งสองในฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองอันเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดต้องห้ามโดยเด็ดขาดได้อนึ่ง จำเลยกระทำความผิดภายหลังวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ซึ่งประกาศ ณ วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๔ มีผลใช้บังคับแล้วซึ่งตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ข้อ ๒ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๙๑แห่งประมวลกฎหมายอาญา แล้วบัญญัติขึ้นใหม่แทนให้ศาลลงโทษผู้ที่ได้กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป คดีนี้จึงต้องลงโทษจำเลยเป็นรายกระทงความผิด และปรากฏว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษาอ้างบทมาตราที่ยกขึ้นปรับลงโทษจำเลยมายังไม่ถูกต้องด้วย
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานเสพเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดต้องห้ามโดยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พระพุทธศักราช ๒๔๖๕ มาตรา ๔ ทวิมาตรา ๒๒ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๔มาตรา ๔, ๘ กระทงหนึ่ง ให้จำคุกจำเลยคนละ ๒ ปี และจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดต้องห้ามโดยเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พระพุทธศักราช ๒๔๖๕มาตรา ๔ ทวิ มาตรา ๒๐ ตรี พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๔)พ.ศ. ๒๕๐๔ มาตรา ๔, ๗ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ อีกกระทงหนึ่งให้จำคุกจำเลยคนละ ๑ ปี รวมโทษ ๒ กระทง เป็นจำคุกจำเลยคนละ ๓ ปีเพิ่มโทษจำเลยที่ ๑ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พระพุทธศักราช๒๔๖๕ มาตรา ๒๖ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๘ กึ่งหนึ่ง เป็นโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด๔ ปี ๖ เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นเหตุบรรเทาโทษ ปรานีลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงเหลือโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๒ ปี ๓ เดือน และจำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๑ ปี ๖ เดือนนอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share